สู้ดิวะ
10 พฤศจิกายน 2022 ·
สวัสดีครับ
ผมเป็นมะเร็งปอดครับ
---------------------------------------------------------------
สู้ดิวะ11 พฤศจิกายน 2022 ·
สวัสดีครับ
ผมขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ และขอบคุณคนที่ได้พลังไปจากโพสต์ของผมครับ
จากใจเลยคือผมตกใจมากๆกับกระแสที่เกิดขึ้น
ผมตั้งใจทำเพจนี้ขึ้นมาเพื่อจะรวบรวมความคิด มุมมอง และสิ่งที่ผมตกตะกอน เอาจริงๆคือเพื่อจะเอาไปเขียนเป็นหนังสือรวมเล่มสักเล่มนึง แค่นั้นเลยครับ
ความตั้งใจของผม มีแค่การเขียนเล่าเรื่องราวและส่งต่อพลังให้กับคนอื่นเท่านั้นครับ
แต่
.
ผมจำเป็นต้องบอกตามตรงว่า
“ขณะนี้ผมเองอยู่ในกระบวนการรักษา”
ยังต้องรับยาเคมีบำบัด ยังต้องรับการฉายแสง
ณ วันที่พิมพ์อยู่นี้ ผมก็ยังคงปวดหัว อ่อนเพลีย ผมร่วง และภูมิคุ้มกันต่ำ
.
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงผมจะดูจิตใจเข้มแข็งแค่ไหน แต่เรื่องทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นได้ หนึ่งเดือนครับ
ผมและครอบครัว รวมถึงเพื่อนสนิทเอง
ก็ยังไม่ได้อยู่ใน”สภาพที่พร้อมพอ”
ที่จะให้ทุกคนมาเยี่ยม ที่จะไปเจอทุกคนได้ครับ
หวังว่าทุกคนจะเข้าใจครับ
.
รวมถึงสื่อต่างๆที่ให้ความสนใจ อยากจะสัมภาษณ์ผม โทรไปหาเพื่อนสนิทผม โทรไปหาครอบครัวผม ติดต่อหน่วยงานที่ผมทำงาน และกำลังพยายามจะโทรหาผม
ผมเข้าใจในมุมสื่อนะครับ
ผมต้องขอโทษจากใจจริงๆที่คงไม่สะดวกไปสัมภาษณ์กับสื่อสำนักไหนครับ
ขอโทษจริงๆครับ
.
.
ผมดีใจมากๆครับที่เรื่องราวของผมสร้างแรงบันดาลใจและบางมุมก็ทำให้หลายคนอยากส่งกำลังใจกลับมาให้ผม อยากช่วยเหลือผม บางคนจะโอนเงินให้บ้าง จะบินมาหาบ้าง
.
ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ
แต่ในมุมคนรับอย่างผม
.
ผมอยากบอกว่าชีวิตปกติของผม มันโอเคมากๆแล้วครับ ผมมีความสุขดีมากๆ
.
ดังนั้น
.
ผมเพียงแค่อยากจะแค่ขอพื้นที่ส่วนตัว
ให้ผมได้ใช้เวลาชีวิตของผมแบบสุขสงบต่อไป
เพื่อที่ผมจะได้มีพลัง มาบอกเล่าเรื่องราวดีๆต่อไปครับ
.
ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ
และพยายามจะเข้าใจครับ
-------------------------------------------------------------
Squamous cell carcinoma of the lung with multiple brain, pleural, and lung-to-lung metastasis
.
มันจะเรียกว่า ระยะสุดท้ายก็ได้ครับ ระยะลุกลาม ระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดเอาก้อนออกแล้วก็หายขาดได้อย่างแน่นอนครับ
.
กำลังบรรจุเป็นอาจารย์แพทย์ได้ 2 เดือน ก็ได้ตั๋วเลื่อนขั้นเป็นอาจารย์ใหญ่เฉยเลย
สงสัยใช่ไหมครับ เพราะผมก็สงสัยเหมือนกัน
.
ผมมั่นใจในสุขภาพร่างกายตัวเองมากๆนะ ทั้งเข้ายิมสม่ำเสมอ เล่นกีฬา กินอาหารคลีน ไม่สูบบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็น้อยมากๆ ทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เครียด นอน 4 ทุ่ม ตื่น 6 โมงเช้ามาอ่านหนังสือ ทำวิจัย สอนนักศึกษา ไม่ได้เข้าเวรอดนอนอะไรเลย การงานอาชีพที่เรียกได้ว่ากำลังไปได้สวย เพิ่งจะอดทนเรียนแพทย์เฉพาะทางจบ พร้อมกับปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบ เพื่อมาทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ตามที่ฝันไว้
..
แล้วผมก็เริ่มไอครับ ไอมีเสมหะบ้าง ไอแห้งบ้าง ตรวจโควิดแล้วก็ไม่เจอ ตอนนั้นรักษาไปทางกรดไหลย้อนก่อน
ผ่านไป 2 เดือน ระหว่างนี้ผมสามารถเล่นกีฬาได้ตามปกติ ทำงาน ใช้ชีวิตได้ตามปกติเลยจริงๆ มีแค่เรื่องไอที่ไม่หายสักที ไอจนรบกวนการสอน
จึงตัดสินใจไปตรวจจริงๆจัง เอาจริงๆคือเพิ่งจะมีเวลาว่างจากงานด้วยแหละครับ
3 ตุลาคม 2565 เป็นวันที่ไม่มีตารางงานเลย
จึงถือโอกาสไปตรวจสุขภาพหน่อย
…
Chest X-ray แผ่นแรกบอกผมว่า ชีวิตผมจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เป็นฟิล์มที่ปอดข้างขวาผมเหลืออยู่ครึ่งเดียว ลักษณะเหมือนมีก้อนกับน้ำอยู่ในปอดด้านขวา และปอดด้านซ้ายก็มีก้อนเล็กๆเต็มไปหมด
.
จังหวะนี้ผมบอกเลยนะ
คุณจะไม่คิดถึงงานของคุณเลย ผมว่าผมเป็นคนบ้างานคนหนึ่งเลยแหละ แต่ ณ ตอนนั้นผม ไม่มีเรื่องงานเหลือในหัวเลย คุณจะไม่มีความคิดเลยว่าอยากทำงานให้มากกว่านี้ หรืออยากใช้เวลาในออฟฟิศให้นานกว่านี้สักนิดเลยครับ
ถึงจะคิดว่า อายุเราน้อย ไม่มีปัจจัยเสี่ยงอะไรเลย สุขภาพโคตรแข็งแรง แล้วเอาจริงก็คิดว่าผมไม่ใช่คนทำบาปเยอะอะไรนะ ถึงจะพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าคงไม่ใช่หรอกน่า..
.
แต่
.
หลังจากผ่านการตรวจทุกอย่างมาแล้ว ทั้งเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ผ่าตัดเข้าไปเพื่อไปเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ ตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สมอง
ผลมันก็คือผมเป็น”มะเร็งปอด” จริงๆ
แถมเป็นระยะสุดท้ายด้วย ตัวก้อนหลักขนาดเกือบ 8 cm ที่ปอดด้านขวา นอกจากนี้ตัวมะเร็งยังมีการกระจายไปที่เยื่อหุ้มปอด และปอดข้างซ้ายอีกหลายจุด ที่สำคัญคือ มันกระจายไปที่สมองถึง 6 ก้อนด้วยกัน แต่ละก้อนก็ใหญ่ซะด้วย โชคดีที่ผมไม่มีอาการทางสมองอะไร ทั้งที่ตำแหน่งที่มันกระจายไป สามารถทำให้ผม แขนขาอ่อนแรง ชา เดินไม่ตรง ทรงตัวไม่ได้ หรือแม้แต่เสียการมองเห็นไปเลย
.
อย่างไรก็ตามผมได้รับการรักษาที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้แล้วครับ ขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านจากใจจริงครับที่ให้ความช่วยเหลือผมมากขนาดนี้ ทั้งทีมผ่าตัด ทีมดมยา ทีมอาจารย์โรคมะเร็ง รวมถึงพี่พยาบาลเจ้าหน้าที่ทุกท่านที่ดูแลอย่างดี
ผมได้รับ chemotherapy Immunotherapy และได้รับการฉายแสงที่ศรีษะทันทีที่เจอก้อน
ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ยอดเยี่ยมและรวดเร็วแบบนี้ผมอาจจะไม่สามารถมานั่งเขียนสเตตัสนี้แล้วก็ได้ครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ
…
รวมถึงประกันด้วยครับ ผมโชคดีที่ได้ทำประกันสุขภาพโรคร้ายแรงไว้ ตอนทำคิดแค่ว่าจะเอาไว้ไปผ่าไส้ติ่งที่เอกชน ถึงตอนนี้ประกันจะยังไม่อนุมัติ ยังอยู่ในกระบวนการสืบค้นข้อมูล ซึ่งมันก็เข้าใจได้ครับ ผมเป็นหมอ อายุน้อย ทำไมถึงเลือกประกันนี้ แล้วเป็นเร็วขนาดนี้ แต่ผมอยากจะบอกประกันเลยว่า ผมเนี่ยวางแผนชีวิตไว้เยอะมาก และก่อนหน้านี้ผมก็แข็งแรงมากๆ อนุมัติให้ผมเถอะ ผมไม่ได้ตุกติกครับ สำหรับคนที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ ผมแนะนำครับ
.
ถ้าคนแบบผมเป็นมะเร็งได้ ทุกคนมีโอกาสเป็นได้จริงๆครับ โลกเราตอนนี้มันไม่ปกติครับ ทั้งมลภาวะ อากาศ น้ำ รังสีต่างๆ ยีนส์เรามันพร้อมกลายพันธ์ครับ
…
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเป็นคนที่เชื่อสุดหัวใจว่า ถ้าเรามีเป้าหมายและวางแผน พยายามทุ่มเท อดทน มันจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการได้ ผมเชื่อว่าเราสามารถควบคุมชีวิตเราได้ พัฒนาตัวเอง ดูแลสุขภาพ อ่านหนังสือ ลงทุน ใช้ชีวิตให้ยอดเยี่ยมมาเสมอ มันเลยทำให้ในมือผมมีการ์ดดีๆมากมายเลยครับ
.
ผมมีสุขภาพที่โคตรแข็งแรง มีการงานที่โคตรมั่นคงและมีอนาคตสดใส ผมมีสังคมและความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมากๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนที่สุดยอดและน่ารัก ผมกล้าพูดว่าผมมีแต่คนรักมากกว่าคนเกลียด อาจเพราะผมใช้ชีวิตด้วยคติคือว่า “ทุกคนที่ได้มาเจอและรู้จักผม เขาจะต้องรู้สึกว่าโชคดีจังที่ได้รู้จักกับผม”
ผมทำแบบนั้นมาตลอด และตอนนี้ผมมีการ์ดเหล่านั้น ผมลงทุนมาตลอดเดินไปตามแผนเกษียณได้อย่างสบายๆ ผมกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด ผมกำลังจะสร้างบ้านในฝันของเรา แล้ว ผมก็จั่วได้การ์ด ที่ชื่อว่า “มะเร็งระยะสุดท้าย”
.
การ์ดที่ถึงผมจะไม่อยากได้ แต่ผมก็มีมันอยู่ในมือ
เป็นวันที่ตระหนักว่าจริงๆแล้ว มนุษย์เรามันโคตรเปราะบางเลยครับ
.
มันเหมือนโลกทั้งใบของเราแตกสลายลงไปต่อหน้าเลยนะครับ แผนชีวิตที่วางมาทั้งหมด พังลง ต่อหน้าต่อตาเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตอนที่ได้ chemo หรือได้ยาอะไรเข้าไปแล้วร่างกายจะเป็นยังไง ฉายแสงที่หัวด้วยรังสีเข้มข้น จะเกิดผลข้างเคียงอะไรไหม จะเดินได้อยู่ไหม จะมองเห็นอยู่ไหม จะกินข้าวได้อยู่ไหม จะยังจำทุกคนได้ไหม จะยังเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน
.
ผมได้ตระหนักว่าชีวิตเรามันมีเวลาชีวิตจำกัด
ไม่ว่าผมจะตอบสนองกับยาดีแค่ไหน หรือผมจะแข็งแรงแค่ไหน ผมคงไม่ได้แก่ตายแน่ๆ
.
เวลาผมจำกัดแค่ไหนเหรอครับ
.
ตัวเลขจากวิจัยก็อาจจะหลักเดือน หกเดือน หนึ่งปี สองปี ถ้าโชคดีมากๆหน่อยก็อาจจะห้าปี
.
.
ผมไม่รู้จริงๆว่าโลกจะให้เวลากับผมเท่าไร และผมไม่สามารถพยายามอะไรได้เลย ทำได้แค่ภาวนาให้ยาตอบสนอง ให้โรคสงบ ให้ไม่มีผลข้างเคียงอะไรเกิดขึ้น ภาวนา ให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติไปได้อีกสักวัน หรืออีกสักเดือน
…
แต่คุณเชื่อไหม
ผมไม่เสียดายชีวิตที่ผ่านมาเลยนะ
.
ผมมีช่วงชีวิตที่ผ่านมาที่โคตรดี ดีแบบไม่มีอะไรเสียใจ ไม่มีอะไรที่อยากย้อนกลับไปทำเลย ไม่มีอะไรที่อยากกลับไปแก้ไขในอดีตเลย
แปลว่าที่ผ่านมาใช้ชีวิตมาได้น่าพอใจมากๆเลยแหละ คือ ไม่ได้รู้สึกว่า รู้งี้ทำแบบนั้นตอนนั้นดีกว่า หรือย้อนกลับไปเปลี่ยนทางเดินชีวิตอะไรเลย ไม่ได้อยากไปเที่ยวรอบโลก ไม่ได้อยากขับ supercar ไม่ได้อยากมีสังคมกลุ่มใหม่ ไม่ได้อยากทำงานอื่น
.
ไม่ได้อยากมีอะไรที่มากไปกว่าที่ชีวิตตอนนี้มีอยู่เลย ผมว่าผมมีชีวิตที่ดีมากแล้วจริงๆ
.
28 ปีที่ผ่านมาของผม มันยอดเยี่ยมและมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกว่าชีวิตที่มีความหมายแล้ว
.
.
ผมและพีมใช้เวลาหนึ่งเดือน ไปกับการรักษาทั้งสารรังสี ยาสลบ การผ่าตัด ยากระตุ้นภูมิ เคมีบำบัด รังสีรักษา รวมถึงยา molnupiravir (ใช่ครับ หลังได้คีโม ผมติดโควิด ลูกรักพระเจ้าไหมละ) และตั้งหลักชีวิตใหม่ เพื่อกลับมามองว่าผมจะเล่นการ์ดในมือนี้ต่อไปยังไง
.
การ์ดมะเร็งในมือนี้ เมื่อมันมาอยู่ในมือผม เพลย์ต่อไปที่ผมจะเล่น คือ
“การฝากบางอย่างไว้ให้กับโลกที่อาจจะไม่ได้น่ารักกับผมเท่าไร”
.
ผมได้รับโอกาสที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ผมได้ตกตะกอนมาตลอดชีวิตผม สิ่งที่ได้เรียนรู้ มุมมองการใช้ชีวิต ความเชื่อ ความฝัน ความประทับใจ
รวมถึงเรื่องราวที่ผมอยากจะฝากไว้กับโลกนี้ ทั้งช่วงอารมณ์อ่อนไหว และเข้มแข็ง เผื่อถ้าวันหนึ่งที่ผมไม่อยู่แล้ว ตัวตนของผม จะยังอยู่ตลอดไป
.
ผมคงจะยังได้รับบทบาทเป็นอาจารย์
จะยังได้มีลูกศิษย์ ที่เติบโต ที่ได้เรียนรู้จากผมอยู่
.
..
มันคงจะดีมากๆถ้าการที่ชีวิตที่สั้นลงของผมสามารถเป็นกำลังใจ เป็นพลังให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ
…
ผมและเพื่อนรักของผม
จึงมีความตั้งใจที่จะสร้างเพจนี้ขึ้นมา
เพื่อส่งต่อสิ่งเหล่านี้ครับ
สู้ดิวะ
สู้ดิวะ
27 พฤศจิกายน 2022 ·
สวัสดีครับทุกคน
ผมสบายดีครับ
ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้แทบจะปกติครับ
.
ผมเพิ่งรับเคมีบำบัดครั้งที่สาม มาเมื่อวันพุธที่ผ่านมาครับ รอบนี้เพลียมากๆเลยครับ ง่วงทั้งวัน ตื่นมากินข้าวแล้วก็หลับต่อ
เรียกได้ว่านอนจนจะเป็นแผลกดทับครับ
วันนี้มีแรงมากขึ้นแล้วครับ ออกมาทานข้าวนอกบ้าน อยากไปออกกำลังกายแล้ว แต่ฝุ่นเชียงใหม่ก็เริ่มน่ากลัวเกินกว่าจะเอาปอดไปเสี่ยง ไม่อยากจะคิดถึงฝุ่นช่วงพีคเลย คงต้องเก็บตัวอยู่ในห้องไม่ก็ย้ายจังหวัดชั่วคราว แต่เอาจริงช่วงพีคนี่ย้ายไปจังหวัดไหนก็คงพอกัน
.
ยังไงก็ตามครับ ช่วงก่อนที่จะรับยารอบสามนี้ มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นครับ ต้องบอกว่าตัวผมเองปกติแล้วออกกำลังกายหนักถึงหนักมากครับ แต่พอมาเข้ารับการรักษาในช่วงเดือนแรก ลำพังแค่ยืนให้ตรงก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว เพราะงั้นการออกกำลังกายจึงไม่ได้ทำเลยครับ วันๆก็กินกับนอน บวกกับช่วงแรกเป็นช่วงประชดชีวิต อะไรที่เคยไม่กิน เราก็กินหมดเลย ของทอด ของมัน หมูกรอบ สามชั้นขนมเค้ก น้ำหวาน เรียบร้อยครับ ไขมันสูง
.
ผมได้เริ่มกินยาลดไขมันในเลือดครับ…
.
แต่ดีนะครับ มันทำให้ผมมีเป้าหมายระยะสั้นขึ้นมาเลย ว่าเราจะต้องกลับมามีวินัยดูแลตัวเองแล้ว คือในช่วงรับการรักษามันจะต้องกินเยอะๆครับ เพราะโดยทั่วไปเราจะน้ำหนักลดอยู่แล้ว คราวนี้เราต้องเน้นไปที่การกินของดี พวกอกไก่ ไข่ขาว ธัญพืช แป้งดีๆ ลดน้ำตาล ลดไขมันให้มากที่สุด บวกกับเริ่มออกกำลังกายด้วย ซึ่งจริงๆแล้วเหตุผลในการที่ผมจะกินแต่ของอร่อยและไม่ออกกำลังกายมีเต็มไปหมดเลย แถมเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นด้วย
.
แต่ผมก็เลือกกลับมาจริงจังกับเรื่องโภชนาการ และการออกกำลังกาย ในวันที่ฝุ่นน้อยๆ ผมจะเริ่มจากการออกไปเดิน พยายามเดินให้ได้หมื่นก้าวซึ่งมันใช้เวลานานมาก เดินได้สักพักก็เริ่มรู้สึกว่าเราต้อง วิ่งดิวะ!!
.
ผมก็ค่อยๆลองวิ่ง ผมวิ่งได้จริงๆครับ ถึงจะยังไม่ใช่ความเร็วเท่าเดิม แต่วิ่งได้ คุมการหายใจได้ แรกๆก็วิ่งได้ไม่กี่นาที แต่พอทำไปเรื่อยๆก็เริ่มวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ช่วงแรกจะปวดขามากๆ เพราะกล้ามเนื้อมันหายไปเยอะมากช่วงที่นอนโรงพยาบาล ต้องซ้อมอยู่หลายวันกว่าจะวิ่งต่อเนื่องได้สิบห้านาที
ผมเลยต้องเวทเทรนนิ่งควบคู่ไปด้วย ล่าสุดก่อนรับยารอบนี้ก็เล่นได้ทุกท่านะ แต่น้ำหนักลดลงจากที่เคยยกได้มากๆ ก็ค่อยๆซ้อม ค่อยๆหาสมดุลของร่างกาย เรียกความฟิตกลับมาเท่าที่ไหว
หวังว่าวันหนึ่งจะกลับไปเล่นบาสได้
.
ซึ่งการทำอะไรพวกนี้ มันรู้สึกว่าได้มีบางส่วนของชีวิตที่เราพอจะพยายามเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของมันได้บ้าง
.
ในส่วนของสิ่งที่เราทำได้แค่เชื่อ และภาวนา คือเรื่องการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดและภูมิคุ้มกันบำบัด ส่วนนี้เป็นสิ่งที่เราทำได้แค่ภาวนาให้น้องมะเร็งตอบสนองกับยาที่ให้ไปเท่านั้น
.
ซึ่งปัจจุบันเอกซเรย์ปอดดูดีขึ้นครับ
ก้อนใหญ่ด้านขวามีขนาดเล็กลง และก้อนน้อยๆที่ปอดซ้ายก็ดูจางลงครับ
ผลข้างเคียงที่ชัดๆก็มีแค่เรื่องผมร่วง กับอ่อนเพลีย ยังไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงอะไร
.
ผมเป็นคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์และหลักการทางวิจัยก็จริง การที่มันตอบสนองก็คงมีกลไกของยาตามที่การศึกษาได้บอกไว้
.
แต่อีกส่วนหนึ่งผมก็เชื่อว่าเป็นเพราะมีผู้หวังดีหลายๆท่าน ทั้งที่ผมทราบ และที่ผมไม่ทราบ ได้ทำการภาวนา สวดมนต์ทำบุญ รวมถึงอีกหลากหลายวิธีที่ผมก็เพิ่งรู้ว่ามันส่งพลังได้
เพื่อที่จะส่งมอบพลังดีๆให้กับผมเพื่อให้โรคนี้สงบ ให้ผมมีสุขภาพแข็งแรง ผมขอบพระคุณจากใจจริงครับ
.
ผมเชื่อจริงๆว่า ส่วนของสิ่งที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์นี้ล้วนประกอบกันทำให้ ณ ปัจจุบัน การรักษาของผมจึงเป็นไปได้ด้วยดี ตัวผมเองก็สวดมนต์ทำบุญอยู่ตลอด และหวังว่าทุกท่านที่ส่งต่อพลังดีๆให้ผมจะได้พบเจอสิ่งดีๆในชีวิตเช่นกันครับ
.
ณ ตอนนี้ดูเหมือนเรื่องราวจะไปได้สวย โรคดูเหมือนจะตอบสนอง แต่ยังไงก็ตามเราต้องไปติดตามหลังจากได้รับการรักษาครบอีกที แล้วหลังจากนั้นก็ต้องไปดูด้วยว่าก้อนในหัวเล็กลงไหม มีก้อนใหม่ขึ้นที่อื่นในร่างกายไหม การต่อสู้นี้ยังอีกยาวไกลครับ
.
แต่ตอนนี้ แค่วันนี้เท่านั้น ที่ผมมีแรงลุกขึ้นมาเดิน มาวิ่งได้ ออกมากินข้าว และมาพิมพ์โพสต์นี้ได้
.
วันนี้เท่านั้นที่ผมมี
.
และผมจะไม่ใช้ วันนี้ ไปกับการนั่งคิดว่าโรคผมจะโตขึ้นหรือลุกลามเยอะขึ้นเมื่อไร
.
ผมจะใช้วันนี้เตรียมร่างกายให้ดีที่สุด
.
ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตให้สนุกและมีสุขภาพที่แข็งแรงครับ
สู้ดิวะ
25 ธันวาคม 2022 ·
สวัสดีปีใหม่ครับ
.
สามเดือนแล้วหลังจากที่ผมถูกวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะสี่
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตได้เป็นชีวิตที่สุดเลยครับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คิดว่าตัวเองใช้ชีวิตได้ดีแล้ว
แต่พอป่วยนี่ สามารถตัดสินใจเลือกอะไรในชีวิตได้ดีขึ้นเยอะเลยครับ เหมือนได้ปลดล็อกตรรกะการคิดใหม่
.
เมื่อสามเดือนก่อน ผมไม่กล้าคิดถึงช่วงเวลาที่อากาศเย็น มีต้นคริสมาสต์ที่ประดับไฟ ผู้คนออกมาแต่งตัวสีเขียวแดง และแลกของขวัญกัน
รวมถึงการที่จะได้มาสวัสดีปีใหม่ทุกคนเช่นนี้ครับ
.
ชีวิตผมสั้นมาก หมายถึงว่า ผมมองชีวิตตัวเองเป็นเกมส์ชีวิตสั้นๆ เล่นรอบละสามสัปดาห์ เริ่มที่ไปนอนโรงพยาบาลเพื่อรับยาเคมีบำบัดและยากระตุ้นภูมิ พอได้ยาแล้วก็รับมือกับผลข้างเคียง ระวังไม่ให้ติดเชื้อหรือมีอะไรแทรกซ้อน หลังจากอาการนิ่งก็เตรียมร่างกายเพื่อรับยาครั้งต่อไปในอีกสามสัปดาห์ต่อไป ไม่ได้วางแผนอะไรที่เกินเดือนเลย เพราะมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย ลองคิดภาพว่า ผมตื่นมาแล้วต้องลองขยับแขนขา ลองถูมือดูว่าชาไหม และลองลืมตามาเช็กว่าตัวเองยังมองเห็นดีอยู่นะ ผมคงไม่กล้าคิดถึงงานปีใหม่หรืองานวันเกิดตัวเอง
.
ชีวิตในแต่ละวันของผมจึงช้าลง แต่ก็ละเอียดขึ้นมากเช่นกัน เพราะต้องสังเกตทุกอาการที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ต้องลงรายละเอียดกับการเลือกอาหาร เลือกน้ำ การออกกำลังกาย กินยา และจัดการกับสิ่งแวดล้อมให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างน้ำประปาที่เคยใช้ตามปกติ พอมากรองดูก็เพิ่งรู้ว่ามันสกปรก และอากาศทีเหมือนจะเป็นสิ่งจำเป็นแรกสุดของมนุษย์ ล่าสุดก็ต้องติดเครื่องแรงดันบวกเพื่อดันอากาศที่สกปรกออกจากห้อง เราอยู่ในยุคสมัยที่ต้องซื้ออากาศสะอาดหายใจแล้วจริงๆครับ
.
แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการจัดการกับสภาพจิตใจ เพราะสิ่งที่มากระแทกชีวิตผมตอนนี้มันแรงมากพอที่ผมจะต้องลงทุนเพื่อพัฒนาสุขภาพจิตตัวเองแล้ว ผมมีเวลาและเหตุผลให้กับตัวเองมากพอ ที่จะทุ่มเทกับการศึกษาศาสตร์ของจิตใจ ทั้งทางศาสนา และทางจิตวิทยา
.
ที่ผ่านมาผมเองก็เหมือนวัยรุ่น productive วัยใกล้สามสิบปีทั่วไปครับ เรื่องศาสนา เรื่องจิตใจ ความสงบ การจัดการกับความคิด อารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ดูเป็นสิ่งที่เป็นความเชื่อ ไม่มีหลักการ และไกลตัวมากๆ เมื่อเทียบกับ งาน เงิน สิ่งของ ชื่อเสียง ที่ต้องไขว่คว้าในแต่ละวัน เอาเป็นว่าเดินเข้าไปในร้านหนังสือ พวกหนังสือที่วางหน้าร้านแนวพัฒนาตัวเอง การลงทุน how to นั่นนู่นนี่ ผมคิดว่าผมเคยอ่านและเข้าใจหลักการเป็นส่วนใหญ่แล้วครับ ช่วงก่อนที่จะป่วยก็มีช่วงที่เดินเข้าไปแล้วไม่รู้จะซื้ออะไรมาอ่านแล้วเหมือนกัน
แต่ในช่วงที่ป่วยนี้ ผมเจอกับโจทย์ชีวิตใหม่ ซึ่งหนังสือก็ยังคงเป็นทางออกแรกๆที่ผมเลือกจะมองหา แต่การเดินเข้าไปในร้านหนังสือชื่อดังเหล่านั้น ไม่มีหนังสือที่สามารถตอบคำถามในชีวิตผมในตอนนี้ได้เลย ผมไม่เห็นว่าการมีทักษะการลงทุน การเริ่มทำธุรกิจ ความเป็นผู้นำ เป็นยอดนักขาย เป็นคนเก่งที่คุยเป็น เคล็ดลับจากมหาลัยดัง วิถีการคิดการทำงานของอัจฉริยะ หรือวิธีที่ผมจะอยู่รอดในยุคเอไอ จะทำให้ผมลดความกังวล หรือทำให้ผมมีความสุขในสถานการณ์ที่ผมกำลังจ้องหน้ากับความตายแบบนี้ได้เลย
.
เอาจริง หนังสือในบ้านเราไม่ได้มีทางเลือกขนาดนั้น มันก็มีบ้าง แต่หายากและมีส่วนน้อยมากๆครับ
แล้วผมไม่ใช่สไตล์ที่อ่านหนังสือนิยาย หรือแนวสะท้อนอารมณ์ ผมยังต้องการความสนุกในการอ่านแล้วคิดตามหลักการเหตุผลที่น่าสนใจ
.
ผมกำลังมองหาหนังสือที่พูดถึงชีวิตจริงๆ การพัฒนาจิตใจให้รับมือกับความตาย หนังสือที่ไม่ได้ติดอาวุธให้เราไปสู้ในสังคมทุนนิยม แต่ผมมองหาหนังสือที่ติดอาวุธให้ผมไปสู้กับไอ้ความกังวลในใจผม ไปสู้กับความคิดว่าถ้าโรคกำเริบ ถ้าอาการแย่ลง คือผมเป็นหมอที่ดูแลคนไข้ระยะสุดท้ายครับ ผมแทบจะรู้ทุกอาการที่จะเกิดจากภาวะต่างๆ ขั้นตอนการช่วยเหลือ หัตถการการยื้อชีวิต รวมถึงอาการในช่วงสุดท้าย
ผมต้องที่จะรับมือกับสภาวะจิตใจนี้โดยที่ไม่อาศัยเพียงความเชื่อ แต่อยากได้หลักการที่เป็นเหตุเป็นผลได้ ไม่เอาบทสวดภาวนาหรือพิธีการที่ผมเองอาจเข้าไม่ถึง ไม่ได้ตามหาหนังสือศาสนาขั้นสูงเพราะผมคงอ่านไม่เข้าใจ มันเลยเหลือหนังสือที่อยู่ตรงกลางนี้น้อยมากๆในชั้นหนังสือบ้านเรา (เท่าที่ผมทราบ)
.
ในช่วงที่ผ่านมา ผมได้อ่านหนังสือสองสามเล่มที่ช่วยให้ผมมีมุมมองในการรับมือกับปัญหาเหล่านี้ เรียกว่าเป็นการติดอาวุธให้ตัวเองไปสู้กับตัวเองข้างใน อันนี้เป็นโจทย์อีกแบบหนึ่งเลยที่ไม่ต่างกับทักษะด้านอื่นๆในชีวิต คือถ้าเราไม่ฝึกเราจะทำไม่เป็น แต่ถ้าเราฝึกซ้อมเราจะค่อยๆทำได้ดีขึ้น และวันหนึ่งคงจะเชี่ยวชาญในการรับมือกับสภาวะของจิตใจ รับมือกับความตายได้ดีขึ้น
.
ศาสตร์ทางโลกที่ผมวิ่งตามมาทั้งชีวิตเหมือนพยายามจะบอกว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปตลอด เหมือนกับหลายอย่างในชีวิตมันสามารถกำหนดได้และมั่นคงแน่นอน เราต้องทำอย่างนั้นเพื่อให้ได้อย่างนี้ ต้องสะสมบางสิ่งเพื่อได้บางอย่าง ทำให้เราอยากได้อะไรที่มากขึ้นเรื่อย ต้องเก่งขึ้น ต้องรวยขึ้น
.
แต่ศาสตร์ทางธรรมพยายามจะบอกเราว่า เราต้องตายนะ มันไม่มีอะไรเป็นของเรา และมันไม่มีอะไรแน่นอนเลย
เหมือนเราเข้ามาเล่นเกมส์ สวมบทบาทเป็นตัวละครนี้ จะหยิบอะไรมาใส่ มาสะสมมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเราอยู่ดี
แล้วจุดพีคของเกมส์นี้ ที่เราลืมไป หรือพยายามจะไม่มองมันคือ “เกมส์นี้มีเวลาหมด” ที่พีคกว่า “คือไม่มีใครรู้ว่าจะหมดเมื่อไร อาจเป็นพรุ่งนี้เลยก็ได้”
.
ใช่ครับ ความจริงที่สุดคือ เราต้องเลิกเล่นเกมส์นี้ในสักวันครับ เราคิดว่าชีวิตเป็นของเรา ทุกอย่างที่เรามี ร่างกายนี้เป็นของเรา แต่เมื่อถึงวันนั้น วันที่เราไม่ได้เป็นคนกำหนด
เราไม่มีสิทธิอะไรเลยกับไอ้สิ่งที่เราบอกว่าเป็นของเราครับ และวันนั้นคือ วันตายครับ
เราต้องตายครับ และผมมั่นใจในเรื่องนี้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
.
ผมคิดว่าพวกเราส่วนใหญ่คิดถึงความตายน้อยมากๆครับ
เราคิดว่า
“คงไม่ใช่เราหรอกน่า”
“ยังไม่ถึงเวลา”
“ใครจะไปซวยขนาดนั้น”
เพราะมนุษย์เราถูกเซ็ทค่าพื้นฐานมาให้กลัวความตายครับ มีนักจิตวิทยากล่าวว่า ที่มนุษย์เราต้องทำตัวให้ยุ่งไว้ หรือที่ไม่สามารถอยู่นิ่งๆเฉยๆได้ เพราะมนุษย์กลัวที่จะคิดถึงความตาย
เขาว่าศาสตร์ทางโลกทั้งหลายก็เป็นไปเพื่อให้เรายุ่งมากพอที่จะไม่ไปคิดถึงความตายครับ
.
ดังนั้นถ้าเรายอมรับอย่างจริงใจได้ว่า
.
“เราต้องตายนะเว้ย สุดท้ายเราจะตาย และมันอาจเป็นพรุ่งนี้ก็ได้”
.
มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตที่สำคัญมากๆจุดหนึ่งครับ
.
.
เมื่อก่อนผมเป็นคนสุดโต่งคนหนึ่งที่คิดว่า ถ้าเราจะอยู่ในโลกแบบนี้เราต้องแข่งขัน แย่งชิง ต้องเป็นที่หนึ่ง เติบโต ก้าวหน้าแบบนี้ เราจะมาแบบ เมตตา ปล่อยวางได้ยังไง แต่เอาจริง มันไปด้วยกันได้นะ มันก็เหมือนเราเล่นเกมส์แล้วไปอัพสกิลอีกสายหนึ่งมาเสริมตัวละครแหละครับ
.
ผมเองก็ไม่ได้ว่าจะทิ้งศาสตร์ทางโลกอะไรครับ นี่ก็ยังเตรียมสอนนักศึกษา วางแผนจะกลับไปทำงานให้ได้เหมือนเดิม ผมก็ยังจ่ายบัตรเครดิต ยังวุ่นวายกับงานเอกสาร กำลังจะออกไปซื้อของขวัญปีใหม่ ผมยังอยากแต่งจักรยาน แต่งงาน และผมยังต้องผ่อนบ้านครับ
แน่นอนว่ามีรถขับปาดหน้าผมก็จัดไปชุดหนึ่งก่อนเหมือนกัน
.
กติกาและเงื่อนไขในการเล่นเกมส์ชีวิตนี้ก็ยังเหมือนเดิมครับ แต่ผมเริ่มเล่นมันด้วยสกิลเสริมอีกชุดหนึ่ง ซึ่งทำผมมีความสุขมากขึ้นในเกมส์นี้นะ
การหันมาอัพสกิลด้านจิตใจนี้ มันช่วยทำให้ชีวิตผมสงบขึ้น นิ่งขึ้น เวลาเจอปัญหาหรือเจอสิ่งที่ไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ ผมรับมือกับมันได้ดีขึ้น เข้าใจผู้คนและสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น และผมสามารถสบตากับความตายได้ดีขึ้นนิดนึง
.
ตอนนี้ผมก็ยังทำไม่ได้ ผมยังกลัวตาย
แต่ผมเชื่อว่า ถ้าฝึกไปเรื่อยๆ ผมก็น่าจะทำได้ดีขึ้น
ผมหวังว่าวันหนึ่งผมจะทำใจได้ว่า
.
“ผมรักชีวิตนี้มาก อยากมีชีวิตต่อไปให้นานมากที่สุด แต่ถ้ามันไม่เป็นไปอย่างที่คิด ผมก็โอเคนะ”
.
ผมเพียงแค่อยากฝึกตัวเองให้วันหนึ่งไปอยู่ในจุดที่
ณ วันที่ความตายมาหาผมจริง ผมน่าจะพร้อมที่จะเจอมันมากกว่าผมตอนที่ไม่ได้ฝึกมาก่อน
ผมหวังว่า ผมจะนอนหรือนั่ง ยิ้มรับมัน แล้วก็ “โอเค มาแล้วเหรอ” อยากจะไปแบบสงบๆ นิ่งๆ คูลๆน่ะครับ
.
.
สิ่งเหล่านี้ ถ้าผมมาคิดและเริ่มฝึกตอนแก่มันไม่น่าทันครับ (สมมติว่าผมอยู่ไปจนแก่ได้จริง) คือผมว่ามันยากนะ การจะยิ้มรับความตายแบบคูลๆเนี่ย
สมมติผมวิ่งตามโลกทุนนิยมนี่ไปจนเป็นสุดยอดเป็นศาสตราจารย์ที่มีตำแหน่งนำหน้าชื่อยาวกว่านามสกุลตัวเอง แล้วผมเริ่มเจ็บป่วยตอนนั้น คิดได้ตอนนั้น ว่าผมไม่มีทักษะในการรับมือกับความตายเลย จิตใจผมไม่เคยถูกเทรนมาเลย ผมคงจะลนมากๆ เพราะเวลามันเหลือให้ฝึกน้อยแล้ว แต่คราวนี้ผมดันมาเจอการกระตุ้นอย่างแรงในอายุน้อยขนาดนี้ ที่ได้มีโอกาสหันมาเริ่มอัพสกิลที่สำคัญไม่แพ้สกิลทางโลก
.
.
ผมว่าผมโชคดีนะ
.
.
แต่คุณ น่าจะโชคดีกว่า
.
ถ้าคุณอายุใกล้ๆกับผม และคุณมีปอดที่ไม่ได้มีก้อนขนาดเท่ากำปั้น รวมถึงสมองคุณก็ไม่ได้มีก้อนกระจายอยู่ในนั้น
.
.
แล้วคุณได้รับโอกาสเดียวกับผม ในการหันมาพัฒนาจิตใจ และหันมองความจริงที่โคตรจริง ว่า เราต้องตายทุกคน
.
ให้เวลาพิจารณามันอย่างจริงจัง ตกตะกอนชีวิตตัวเองหลังจากที่พิจารณาตัวแปร “ความไม่แน่นอน” และ “ความตายของเรา” เข้าไปแล้ว
ผมว่าคุณน่าจะได้สมการชีวิตใหม่ เพื่อเล่นเกมส์นี้ต่อไปในแบบของคุณ ตราบเท่าที่เวลาคุณยังเหลือ
เพราะผมเอง ก็ยังเป็นผู้เล่นในเกมส์นี้ ผมก็เป็นเพื่อนร่วมทางคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปที่จุดจบเดียวกัน
.
แม้ผมจะเป็นโรคนี้ แต่เราไม่ได้ต่างกันในกติกาข้อที่ว่าเราไม่รู้ว่า เกมส์จะหมดเวลาเมื่อไรเลยครับ
.
โอ้ ผมลืมเรื่องสำคัญที่สุดไป ผมตอบสนองต่อการรักษาดีมากๆ ก้อนใหญ่ที่ปอดขวาเล็กลง ก้อนเล็กที่ปอดซ้ายก็หายไปหมด ล่าสุดผมฟิตกว่าสามเดือนที่แล้วอีก ตอนนี้เหมือนได้ปอดใหม่เลยครับ เดี๋ยวรอดูก้อนในสมองช่วงต้นปีอีกที แต่หวังว่าจะไปในทิศทางเดียวกัน
.
สรุปคือ สามเดือนนี้ผมชนะ ในเกมส์ที่มีโอกาสแพ้มากกว่า
โอเค ไอ้โรคนี้ก็ยังน่ากังวล แต่ผมว่าผมมีสิทธิที่จะฉลองการชนะในรอบนี้นะ
.
เพราะความจริงก็คือ ผมไม่รู้หรอกว่า การติดตามรอบหน้ากับความตายอันไหนจะมาหาผมก่อน
ความเป็นไปได้ กับ ความน่าจะเป็น มันเป็นคนละอย่างกันครับ แม้ความน่าจะเป็นมันจะน้อยแค่ไหน ก็ไม่ได้แปลว่ามันเป็นไปไม่ได้ครับ
.
และตอนนี้ผมเอง
.
ได้เรียนรู้ว่าความสงบคือความสุข
ได้เรียนรู้ว่าชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่คุ้มค่า
ได้เรียนรู้ว่าชีวิตธรรมดาคือชีวิตที่มีความหมาย
.
และ
ได้เรียนรู้ว่าการแต่งห้องวันคริสต์มาสต์ และการเลือกคัพเค้กลายซานต้าไปฝากคนอื่นมันก็สนุกกว่าที่คิด
.
Merry Christmas และ สวัสดีปีใหม่ครับ
…
.
.
หนังสือที่ผมอ่านในช่วงที่ผ่านมา
- “Advice for Future Corpses (and Those Who Love Them)” by Sallie Tisdale
- “How We Live Is How We Die” by Pema Chodron
- “How to Stop Worrying and Start Living” by Dale Carnegie
- “The Last Lecture” by Randy Pausch
- “When Breath Becomes Air” by Paul Kalanithi
- “แก่นพุทธศาสตร์” หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
- “สิ่งเดียวที่จัดการได้คือใจของเรา” และ “เตรียมตัวสอบไล่วิชาชีวิต” พระไพศาล วิสาโล ดูน้อยลง
---------------------------------------------------------------------------------
สู้ดิวะ
28 มกราคม ·
สวัสดีครับ
ผมมีเรื่องที่น่าประทับใจอยากจะมาแชร์ครับ
.
“ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต จะยังออกไปทำงานนี้อยู่ไหม”
.
ผมได้ยินคำถามนี้มาหลายปีแล้วจาก คุณ เคน The Standard ใช้ถามตัวเองในตอนที่จะตัดสินใจย้ายงาน
ตอนนี้อินกับคำถามนี้มากๆเลย
เพราะตั้งแต่ป่วยมา ต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสและเวลาที่จะทำได้ทุกอย่างเหมือนเดิม
การที่เราจะไม่ทำงานในช่วงนี้ก็ดูเข้าใจได้มากๆ เพราะด้วยเวลาที่เหลืออยู่ผมควรเอาไปใช้ชีวิตมากกว่า
ก็แอบน่าสงสารตัวเองเหมือนกันครับ ที่คำว่า ใช้ชีวิตของผมมันแทบจะแยกออกจากการทำงานไม่ได้เลย
.
ช่วงชีวิตที่ผ่านมา ผมมีพื้นฐานครอบครัวที่พร้อมพอให้ผมเลือกงานอย่างมีอิสระ
ผมก็เลยจริงจังกับเรื่องนี้มากๆ ขนาดที่คิดว่า อยากจะหางานที่ ผมจะอยากทำไปจนตาย
ไม่อยากทำงานที่กลัววันจันทร์ หรือทำเพื่อเฝ้ารอวันหยุด ทำแล้วนับว่าเมื่อไรจะเกษียณ
แต่ยังไงชีวิตผมมันก็ค่อนข้างจะตามตำรา ส่วนตัวผมเลยจะไม่ค่อยรู้ว่า จริงๆแล้วงานแบบไหนที่เราอยากทำ
.
ลองทำหลายแบบทดสอบเหมือนกันครับ ว่าจุดแข็งเราคืออะไร งานแบบไหนที่เหมาะกับเรา
ผมเชื่อว่ามันคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
แต่หลักการที่ผมสนใจคือ หลักการเรื่อง อิคิไก ที่สรุปแบบคร่าวๆ คือ งานที่จะเป็นงานที่เราจะอยากทำไปจนตาย อยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆเนี่ย มันจะเป็นจุดร่วมของงานที่มีลักษณะ 4 อย่างนี้คือ “งานที่เราชอบ งานที่เราถนัด งานที่สร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเรา และงานที่สร้างประโยชน์ให้สังคม” เขาว่าถ้าหางานที่ตอบโจทย์ทั้ง 4 ด้านนี้ได้ เราจะอยากทำมันไปตลอด
หรือหลักการเรื่องที่ว่าให้เลือก “งานที่ท้าทายเรา” ไม่ใช่แค่งานที่เราชอบ เพราะความชอบมันเบื่อได้ แต่ความท้าทายมันจะทำให้เราสนุกไปกับมันและอยากจะกลับมาเอาชนะมันให้ได้ อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นทุกวัน
.
.
แล้วผมก็มาเจอมันในสนามบาสเกตบอลครับ
.
ในช่วงชีวิตการเป็นนักศึกษา ผมใช้เวลากับการอยู่สนามบาสมากกว่าอยู่ห้องสมุดครับ
ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนชอบพัฒนาตัวเองครับ ที่เห็นได้ชัดคงเป็นบาส เพราะบาสไม่ใช่แค่สิ่งที่ผมชอบ แต่มันท้าทายผมอยู่ตลอด เราต้องเก่งขึ้นนะ ต้องฝึกทักษะนั่นนี่เพิ่มนะ ไปลงสนามแข่ง ไปเจอข้อบกพร่องของตัวเองแล้วเอามาซ้อมมาปรับแก้ให้เราเป็นนักกีฬาที่ดีขึ้น
.
แต่ สิ่งที่มันจุดประกายและส่งผลต่อการทำงานของผมจริงๆ มันเกิดขึ้น ตอนที่ผมมีรุ่นน้องในชมรม
ผมจำไม่ได้ว่ามันเริ่มเมื่อไร ที่ผมเดินเข้าไปหาน้องแล้วก็สอนสิ่งที่เราเคยทำผิดพลาดมาก่อน สอนทั้งหลักการและทักษะ
คงรู้สึกเสียดายว่า ถ้าสิ่งที่เราเรียนรู้มา มันจบลงแค่ที่เรา เล่นได้คนเดียว มันน่าเสียดายเกินไป ผมก็เลยอยากให้มีคนเก่งกว่าผม ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาซ้อมสิ่งที่ผมเคยทำผิดมาก่อน จะได้ไปได้ไกลและเร็วกว่า ซึ่งผมทุ่มเทกับสิ่งนี้ มากกว่าที่ผมซ้อมตัวเองอีกครับ
การซ้อมยังมีวันที่ไม่อยากทำบ้าง แต่ไม่เคยมีความรู้สึกว่าไม่อยากสอน หรือสอนแล้วคิดว่าเมื่อไรจะเสร็จเลย
.
ซึ่งมันก็ส่งผลกับการเรียนทั้งตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ และตอนที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน
มันทำให้ผมชอบคุย ชอบสอนคนไข้ สอนญาติ ผมสนุกกับการอธิบายนะ สนุกกับการทำให้จากที่ไม่รู้ กลายเป็นรู้ สนุกกับการที่เราต้องฟังเขาก่อนเพื่อรู้ว่าจริงๆแล้วปัญหาเขาคืออะไร แล้วเราพอจะมีอะไรช่วยไปแก้ปัญหาให้เขาได้ไหม ถ้ามีก็อธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้
นอกจากการตรวจคนไข้ ระหว่างเรียนผมก็ยังมีงานที่ต้องได้ไป presentation หรือได้สอนนักศึกษาแพทย์บ้าง
.
ยิ่งทำ ยิ่งรู้ว่าเราชอบงานแบบนี้แหะ
.
ชอบพูดแล้วมีคนพยักหน้าตาม
ชอบที่กระบวนการเตรียมก่อนมาสอน
ชอบตอนที่ขึ้นเวที จับไมค์ แล้วเล่าเรื่องราว
ผมเริ่มเสพติดการมีคุณค่าแบบหนึ่ง
การได้เห็นว่าตัวเองพูดรู้เรื่อง ถ่ายทอดได้
.
.
ผมก็เข้าใจว่าตัวเอง เป็นคนพูดดี สอนดีมาตลอด
แต่ก็ไม่รู้จะสอนอะไรครับ การสื่อสารได้ดี ไม่ได้แปลว่า content ที่เราจะสื่อสารมันน่าสนใจและมีประโยชน์กับผู้เรียนเสมอไป
.
.
จนผมได้มาเจอกับศาสตร์ของระบาดวิทยาคลินิก
.
งานด้านระบาดวิทยาคลินิกคร่าวๆมันเป็นเรื่องของการที่เราจะออกแบบวิธีการทำวิจัย เพื่อหาคำตอบมาแก้ปัญหาที่หมอหรือบุคคลากรทางการแพทย์เจอ เป็นการทำวิจัยที่มีเป้าหมายสูงสุดเพื่อช่วยให้กระบวนการดูแลรักษาคนไข้ดีขึ้น
ซึ่งการจะตอบโจทย์ลักษณะนี้ ต้องมีความจริงจังเรื่องระเบียบวิธีการทำวิจัยที่น่าเชื่อถือ มีตรรกะอย่างที่สุด มีระเบียบวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล การใช้สถิติทางการแพทย์ การนำเสนอผลวิจัยต่างๆที่ต้องมีหลักการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อย่างมาก
.
ลองนึกภาพว่า หมออยากรู้ว่าจะให้ยาอะไรเพื่อรักษาคนไข้สักคนหนึ่ง การจะได้มาซึ่งคำตอบของชนิดยา ขนาดยาที่ให้ ความถี่ หรือผลลัพธ์จากการักษา ผลข้างเคียงที่มีโอกาสเกิดได้ การจะหาคำตอบพวกนี้เพื่อมาช่วยหมอในการรักษาคนไข้ มันก็สมควรที่จะต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เหตุผลมากๆ
เชื่อว่าทุกท่านลองคิดตามก็คงจะพอเห็นภาพถึงความจริงจังในการหาคำตอบเหล่านี้
ทุกท่านคงไม่เห็นด้วยกับการรักษาที่อิงหลักฐานจากการที่มีคนข้างบ้านใช้แล้วได้ผลหรือข้อมูลที่แชร์ต่อๆกัน มาใช้กับคนที่เรารักแน่ๆ
.
ซึ่งศาสตร์นี้มันค่อนข้างยากจริงๆครับ ยากเลยแหละ ผมเองเกลียดมันเหมือนกันครับ
ผมว่านักศึกษาแพทย์ที่เรียนรุ่นใกล้ๆผม แล้วไม่ได้จริงจังกับการเรียนมาก น่าจะเกลียดวิจัย เกลียดสถิติทางการแพทย์พอๆกับผมเนี่ยแหละ
เพราะสำหรับผมแล้ว มันเป็นศาสตร์มืดจริงครับ ภาษาเทพ ศัพท์แปลกๆ การวิเคราะห์ที่ซับซ้อน ผลลัพธ์ก็แปลผลไม่รู้เรื่อง
.
แต่ ผมได้มีโอกาสเรียนกับพี่เพียว อาจารย์ระบาดวิทยาคลินิกแนวใหม่สายแข็ง
อาจารย์ผู้ตีพิมพ์วิจัยมากจนไม่ต้องกลัวเขาจะไปซื้อแต่ควรกลัวเขาจะทำขายมากกว่า (ล้อเล่นนะครับ)
.
การได้เรียนกับพี่เพียวมันเป็นการเปิดโลกของผมมาก เปลี่ยนมุมมองที่ผมมีต่อวิจัยและสถิติไปอย่างสิ้นเชิง
ผมเข้าใจ ผมใช้งานมันได้ สนุกไปกับหลักการและเหตุผลของมัน อยากรู้อยากเข้าใจมากขึ้นไปอีก
นอกเหนือจากเนื้อหา ผมเข้าใจอย่างสุดหัวใจเลยครับว่า “การสอนที่ดี” มันเป็นยังไง
.
“สอนเรื่องยากให้ยากใครก็สอนได้ แต่การสอนเรื่องยากให้ง่ายคือนายต้องเก่งหน่อย”
.
(พี่เพียวไม่ได้พูดเอง แต่ผมสัมผัสเสียงในใจแกได้แบบนี้)
.
ผมจึงตัดสินใจว่าจะเป็นอาจารย์ที่สอนเรื่องที่ตัวเองเคยเกลียด และไม่เข้าใจอะไรเลยนี้แหละ
ให้อย่างน้อย ผู้เรียนมีมุมมองว่า มันก็ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น
มันเข้าใจได้จริงๆ มันไม่ได้เกินความสามารถของพวกเขาเลย
จะได้มีหมอที่มีทัศนคติและทักษะเรื่องวิจัยที่ดีขึ้นอีกสักนิด
.
ก็พยายามเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองมาตลอด จนได้มาบรรจุเป็นอาจารย์ระบาดวิทยาคลินิก ได้ทำงานร่วมกับพี่เพียวและทีมงานคุณภาพ
.
แล้วเรื่องราวก็คล้ายๆกับที่ทุกท่านทราบ หลังทำงานได้สามเดือน ผมเป็นมะเร็งปอดที่กระจายไปที่สมอง
ผมเข้ากระบวนการรักษาตามแนวทางของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ต่อสู้กับผลข้างเคียงของมัน
ผมคิดตลอดว่า ผมจะต่อสู้กับมัน เพื่อให้ผมยังมีชีวิต เพื่อให้ผมได้มีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตแบบที่เคยมีอีกสักสองสามปี
ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้หรอกครับ รู้แค่ว่าจะใช้ชีวิตต่อจากนี้ให้มีค่ามากที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าไอ้ชีวิตแบบนั้นมันคืออะไรกันแน่
.
.
แต่เมื่อใกล้ช่วงที่จะต้องสอนนักศึกษาแพทย์
.
ที่จริงผมจะไม่สอน ผมจะพักผ่อนก็ได้ ผมไม่จำเป็นต้องมานั่งเตรียมสไลด์ หรือฝึกพูดก็ได้
(อันนี้ตลกมากครับ ผมต้องฝึกพูดสำหรับการสอนใหม่ เพราะปอดผมไม่ชินกับการพูดนานๆเป็นชั่วโมงแล้ว ต้องคุมเสียงให้อยู่ในโทนของการสอน ฝึกร้องเพลงเพื่อเพิ่มพลังปอด ให้เพียงพอที่จะทำให้คลาสสนุกได้อย่างน้อย 90 นาที ต้องอัพเดตเรื่องราวในสังคมเอาไว้เล่นมุกกับน้องด้วย)
.
แล้วก็ถึงวันที่ได้ไปยืนในหน้าชั้นให้ห้องที่เราเคยนั่งอยู่บนมุมขวาหลังของห้องนั้น
ได้กลับไปสอนในเรื่องที่ตัวเราเองเคยนั่งทำหน้างงและมีทัศนคติลบกับวิชานี้
.
ก่อนขึ้นไปโคตรตื่นเต้น ตอนแรกลังเลว่าจะใส่หมวกดีไหม หรือจะขึ้นไปแบบโล้นๆ
แต่กลัวน้องจะเสียสมาธิเลยเลือกใส่หมวกดีกว่า ตอนขึ้นไปยืนตอนแรกมีน้องๆ ยกมือถือมาถ่ายรูปด้วยครับ น่ารักมาก
(เข้าใจความรู้สึกของหลินปิงก็วันนี้แหละครับ)
.
ผมได้รับโอกาสสอนร่วมกับพี่เฟิส และ พี่เพียว การได้ขึ้นเวทีสอนคู่กับอาจารย์ไอดอลทั้งสองคนนี้ เป็นสิ่งที่มีค่ามากครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ
.
โอเค ผมได้สอน มีน้องพยักหน้าตาม มีน้องพยายามตอบ มีน้องทำหน้าสงสัย ตอนที่สอนเสร็จก็มีน้องวิ่งขึ้นมาถามที่หน้าเวที อะไรพวกนี้มันสนุกมากๆเลย คือมันอาจจะไม่ได้แปลว่าเรียนแล้วน้องจะชอบมัน หรือมันอาจจะออกมาแย่ คือน้องก็อาจเกลียดมันเหมือนเดิมก็ได้
.
แต่ผมได้ความสนุกของการสอนคลาสนั้นมาแล้ว
.
.
ผมเชื่อว่าความตั้งใจแรกของหลายๆท่านที่สมัครเป็นอาจารย์ ก็คงเป็นเพราะอยากสอน อยากถ่ายทอด อยากเห็นศิษย์ได้ดี
.
น่าเสียดายที่องค์กรมหาลัยในบ้านเรา มักให้คุณค่ากับผลงานวิชาการ งานวิจัย impact factor สูงๆ ที่ทำให้อันดับของมหาวิทยาลัยสูงขึ้น
การวัดผลอาจารย์ท่านหนึ่งว่าเป็น “อาจารย์ที่ยอดเยี่ยม” ด้วยสิ่งพวกนี้
จึงอาจเป็นส่วนที่ทำให้อาจารย์เองก็ต้องดิ้นรนให้ตัวเองมีผลงานวิชาการมากและดีที่สุดด้วยทุกวิธี
.
จนบางที เหตุผลของการที่เริ่มมาเป็นอาจารย์ ก็อาจจะเลือนลางไป การตั้งใจดูแลคนไข้ ตั้งใจทุ่มเทสอนนักศึกษา ดูจะถูกลดความสำคัญลงไป
.
“พี่ชอบสอนมากเลยว่ะ พี่ชอบสอนพวกเรามากๆเลย”
อาจารย์ที่สอนและดูแลคนไข้โคตรดี ที่เคยสอนผมท่านหนึ่ง พูดกับผมก่อนที่เขาจะลาออกไป
.
.
ผมทราบดีว่าผมเป็นอาจารย์ใหม่ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีผลงานอะไรมากมายเหมือนผู้ใหญ่หลายๆท่าน
แต่นี่ก็เป็นเพียงความหวังเล็กๆของผมเท่านั้น
ว่าวันหนึ่ง
.
จะมีการให้คุณค่ากับ “คุณภาพของการสอน รวมถึงความตั้งใจทุ่มเทของอาจารย์ในการใส่ใจคนไข้และนักศึกษา” มากพอๆกับผลงานวิชาการครับ
.
.
.
ช่วงต้นปีนี้มีช่วงที่ผมสอนติดกันทั้งสัปดาห์ ถึงจะเจ็บคอและหมดพลังทุกวันที่สอนเสร็จ
แต่พอเริ่มสอน มันก็สนุกจนลืมเหนื่อย ลืมป่วยไปเลย
.
ใช่ครับ
.
มันเป็นชั่วโมงที่ ผมลืมไปเลยว่าผมมีก้อนในปอด และก้อนในหัว ที่พร้อมจะทำให้ผมขึ้นมาพูดมาสอนไม่ได้
.
การเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจาย เราแทบไม่มีโอกาสหายขาดจากโรคนี้ครับ
แต่การขึ้นไปสอน การเห็นแววตาของคนเรียน ช่วงเวลาชั่วโมงนิดๆตรงนั้น
ผมรู้สึกว่าผมเป็นเพียงอาจารย์ของนักเรียนตรงหน้า ไม่มาก ไม่น้อยไปกว่านั้นครับ
.
.
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่า การทำงานสอน จะมอบช่วงเวลาที่มีชีวิตให้กับผมได้
.
“ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต จะยังออกไปทำงานนี้อยู่ไหม”
.
“อยากครับ”
.
ถึงจะทำได้อีกไม่นาน แต่ถ้าผมยังสอนได้ ผมอยากจะสอนต่อไป เท่าที่ผมจะยังทำไหว
.
นี่คงเป็นคำตอบ
ของ งานที่ผมจะอยากทำไปตลอดชีวิต มั้งครับ
.
ผมว่าคนเราใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการทำงาน
ถ้างานที่เราทำนั้น มันทำให้เราสนุก และอยากออกไปทำมันในทุกๆวัน ก็คงดีนะครับ
.
.
สำหรับคนที่กำลังเหนื่อยกับงาน
ผมอยากชวนคิดทบทวนถึงวันแรกที่มาเริ่มงานนี้
ความท้าทาย ความตื่นเต้นสมัยเริ่มงานใหม่ๆ เป้าหมายของการมาทำงานคืออะไร
มันคงจะดีครับ ถ้าเรายังคงทำงานเดิมนั้น ด้วยฝีมือและประสบการณ์ที่สะสมมา แต่ไม่ลืมที่จะสนุกกับมันเหมือนวันแรกๆ
.
แต่ถ้าทบทวนแล้วยังไงก็ไม่เหลือความสนุกอะไรอยู่เลย ถ้างานที่ทำอยู่นี้ไม่ตอบสักเป้าหมายในชีวิตเราแล้ว ก็ลองมองหาทางเลือกหรือโอกาสอื่นๆดูไหมครับ
.
ชีวิตเรามันสั้นและจำกัดมาก
ใช้มันไปกับสิ่งที่ใช่ดีกว่าครับ
.
หวังว่าทุกท่านจะสนุกกับชีวิตการทำงานครับ
---------------------------------------------------------------------------------
สู้ดิวะ
19 กุมภาพันธ์ ·
สวัสดีครับ
มีเรื่องมาแชร์อีกแล้วครับ
.
ในวันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา ผมได้รับโอกาสที่สำคัญมากๆ ในการไปพูดคุยกับน้องสวนกุหลาบรุ่น 141 ในวันจากเหย้า หรือวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมปลายของน้องสวนกุหลาบ
.
โอเค บรีฟที่ผมได้รับคือให้แนะนำ “วิธีคิดของเราที่จะทำให้น้องเข้าใจตัวเอง และพร้อมเจอกับโลกมากขึ้น”
.
เอาล่ะ ยากมากเลยทีเดียว
.
ปกติขึ้นเวที ก็จะขึ้นไปสอน มีวัตถุประสงค์การสอนที่ชัดเจน แต่คราวนี้ต้องมาพูดเรื่องตัวเองต่อหน้าชายหนุ่มกว่าห้าร้อยชีวิตที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ชีวิตมหาลัยและการทำงาน
.
ผมพบว่าสิ่งที่ผมจะแนะนำตัวเองในสิบปีที่แล้วเพื่อหวังว่าจะใช้ชีวิตได้ดีขึ้นเนี่ย ส่วนใหญ่มันไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับสิ่งที่น้องจะเอาไปใช้ในสิบปีข้างหน้าของน้องได้เลย
.
เพราะสิบปีที่น้องกำลังจะเจอมันมีความแตกต่างจากสิบปีที่ผ่านมาเยอะมากๆ อย่างน้อยสมัยผมเรียนก็ไม่มี ChatGPT และตอนเข้ามหาลัยก็ไม่ใช่ทุกคนมี smart phone ใช้
ที่สำคัญสุดๆคือ ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เรียนรู้มา มันไม่ได้แปลว่ามันจะเหมาะกับชีวิตที่น้องกำลังจะสร้างขึ้นมาเลย นั่งคิดนอนคิดยังไง ก็ไม่กล้าจะไปแนะนำอะไรน้องเลยครับ
แต่ผมก็ถูกเชิญมาแล้ว ผมจึงขอใช้โอกาสนี้ เล่าเรื่องชีวิตตัวเองให้ฟังแล้วกัน ว่าสิบปีที่ผ่านมาของผมเป็นยังไงบ้าง
.
วันนี้จะลองสรุปเนื้อหาบางส่วนที่พูดคุยกับน้องสวนกุหลาบ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่นๆครับ
.
.
.
.
“
สวัสดีครับน้องสวนกุหลาบ 141
พี่ OSK 131 ครับ
สิบปีแล้วครับ สิบปีที่จบจากโรงเรียนนี้ไป
ตอนนั้น วันจากเหย้าของพี่ตรงกับวันสัมภาษณ์แพทย์เชียงใหม่ งานจากเหย้าจึงเป็นงานเดียวในชีวิตสวนกุหลาบที่พี่ไม่ได้เข้าร่วม
การได้รับเกียรติได้มาอยู่ในห้องประชุมในวันนี้ก็ถือเป็นการเติมเต็มชีวิตพี่เหมือนกันครับ
.
พี่ขอใช้เวลาในช่วงแรกไปกับการชวนน้องมาดูสิบปีที่ผ่านมาของพี่แบบเร็วๆก่อนแล้วกัน
.
หลังจากจบจากสวนกุหลาบ พี่ก็ได้มาเริ่มใช้ชีวิตที่เชียงใหม่ เริ่มด้วยชีวิตการเป็นนักศึกษาแพทย์ ซึ่งในส่วนของชีวิตการเรียนหมอเนี่ย ถึงจะเหนื่อยและดูมีเรื่องราวเยอะ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ที่มันดูมีสีสันกว่าคือการที่ได้อยู่ในชมรมบาสเกตบอล เพราะมันคือกลุ่มนักศึกษาแพทย์ที่ยังต้องสอบต้องเป็นหมอให้ได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ แต่ก็ยังจะแบ่งเวลาจำนวนมากในชีวิตมาซ้อมบาสอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อหวังว่าจะเป็นที่หนึ่งในการแข่งบาสระหว่างนักศึกษาแพทย์ด้วยกัน
.
โอเค พี่ก็เรียนจบแพทยศาสตร์บัณฑิต ได้แชมป์บาสเกตบอลกีฬาเข็มสัมพันธ์ อะไรที่นักศึกษาแพทย์สักคนนึงจะทำได้ก็ได้ทำหมดแล้ว
.
หลังจากเรียนจบก็เป็นหมอ เรียนต่อเฉพาะทาง ระหว่างเรียนเฉพาะทางก็ไปเรียนปริญญาโทวิทยาการข้อมูลอีกใบคู่กันไป มาถึงจุดนี้ เรียนจบหมดทุกอย่างแล้วได้ใบปริญญามาเต็มบ้าน แล้วก็มาสมัครเป็นอาจารย์แพทย์ต่อ
.
พี่คุกเข่าขอแฟนแต่งงานแล้วครับ แล้วก็กำลังจะไปเรียนคอร์สสั้นๆที่สวิสเซอร์แลนด์ปลายปีนี้
พี่มีคนรอบตัวที่พร้อมสนับสนุน มีการวางแผนการเงินที่รัดกุม และหน้าที่การงานที่แสนมั่นคง
.
ชีวิตโคตรตรงไปตรงมาเลยครับ ตามตำราชีวิตที่แม่จะเอาไปอวดป้าข้างบ้านได้สบายๆ
.
.
.
แล้วพี่ก็เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้ายครับ
.
.
จากที่น้องเห็นก้อนในปอดที่มีขนาดใหญ่พอๆกับหัวใจพี่ และก้อนในหัวที่ใหญ่พอๆกับลูกตาพี่
ไม่น่าเชื่อว่า น้องๆในห้องที่ไม่ใช่นักศึกษาแพทย์จะสามารถรับรู้ถึงความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่างดี
.
จากชีวิตของคนๆหนึ่งที่น้องได้ตามดูตลอดการเล่าเรื่องของพี่ ชีวิตที่ดูจะมีแต่ความเป็นไปได้ไม่จำกัด ชีวิตที่เคยคิดว่าเราจะสามารถทำทุกอย่างที่เราอยากทำได้ สามารถบริหารจัดการชีวิตตัวเองเพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายได้อย่างเต็มที่ ร่างกายที่ผ่านการดูแลอย่างยอดเยี่ยมก็ยังมาป่วยเป็นโรคร้ายแบบนี้
.
จากวันนั้น พี่เอง ได้เรียนรู้เรื่องที่ยิ่งใหญ่แต่เรียบง่ายมากๆ ว่า “เรามีเวลาจำกัด”
.
ก่อนหน้านี้พี่เอาใจไปคิดว่าชีวิตเราจะอยู่ไปได้อีกนาน มุมมองต่อเวลาที่มีคือ
“คนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็มีเวลาเท่ากับเรา”
ดังนั้นเราต้องทุ่มเทเวลาไปกับการใช้ชีวิตให้ไปถึงความสำเร็จ ต้องบริหารเวลาให้ทำได้ทุกอย่างตามที่เราต้องการ
.
แต่ที่จริง
เวลาในชีวิตเรามีจำกัดครับ
.
”แม้ว่าเราจะสามารถมีแทบทุกสิ่งทุกอย่างได้
แต่เราไม่สามารถมีทุกสิ่งทุกอย่างได้ครับ”
.
เราต้องเลือกบางสิ่ง และยอมสละหลายสิ่งที่เราไม่ได้เลือกไปเสมอ
เป็นความจริงที่ตรงไปตรงมามากว่า
“เวลาเราไม่ได้มีมากพอให้เราไปทำหรือมีทุกอย่างในโลก”
.
.
อย่างการที่น้องเป็นนักเรียนสวนกุหลาบ คือน้องเลือกที่จะไม่ไปเรียนมัธยมที่อื่น
การที่น้องเลือกคบแฟนคนนี้ คือน้องยอมสละโอกาสที่จะได้เจอคนอื่นๆ
การที่น้องเลือก ใช้ชีวิตในวันนี้แบบนี้ เป็นการที่น้องเสียโอกาสที่จะใช้มันไปแบบอื่นอีกหลายทางมาก
สิ่งที่น้องเลือกมาแล้ว มันจึงเป็นสิ่งที่พิเศษและสำคัญมากๆ เพราะน้องกำลังสละหลายสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา
.
เพราะงั้น “สิ่งที่อยู่ตรงหน้าน้อง ณ ตอนนี้” ในช่วงเวลานี้ มันจึงเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุด
.
วันนี้ของน้องเป็นสิ่งเดียวที่น้องมี
.
พี่เชื่อว่าชีวิตเราไม่ใช่เส้น แต่เป็นจุดครับ จุดที่เป็นตัวแทนของแต่ละวัน สุดท้ายจุดของน้องจะต่อกันเป็นเส้นยังไงไม่มีใครรู้ แต่เรามีหน้าที่แค่อยู่กับจุดของแต่ละวันให้เต็มที่ที่สุดครับ
.
.
โอเค เราทุกคนต้องวางแผนอนาคต ซึ่งพี่ก็ทำแบบนั้น แต่ที่พี่เปลี่ยนไปหลังจากป่วยคือ พี่ให้ความสำคัญกับ
”วันนี้ของพี่”มากๆ
.
เพราะเอาจริงพี่ไม่รู้หรอกว่าไอ้แผนที่พี่วางไว้ พี่จะตายก่อนไปถึงแผนนั้นหรือเปล่า
ดังนั้นพี่จึงให้ความสำคัญกับคนตรงหน้า พี่ไม่ได้กินข้าวไปแล้วคิดว่าจะไปทำอะไรต่อ พี่ไม่ได้ยกมือถือมาถ่ายทุกอย่างเพื่อหวังว่าจะกลับมาดูทีหลัง
พี่ไม่ได้เอาแต่รอวันที่ประสบความสำเร็จแล้วค่อยมีความสุข แต่พี่มีความสุขกับวันนี้เลย
มีความสุขกับเพื่อนพี่ ที่มานั่งฟังพี่อยู่หลังห้องนั้น เพื่อนสวนกุหลาบที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปี
.
.
สิบปีที่ไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะกลับมาเจอกันอีก
.
พี่โชคดีขนาดไหนที่โรคมะเร็งยังไม่เอาชีวิตพี่ไป พี่ไม่ตายในห้องผ่าตัด ไม่ตายตอนได้รับเคมีบำบัด หรือการที่พี่ยังสามารถคงความเป็นตัวเองได้แบบนี้ มันโคตรโชคดีเลย แล้วพี่ก็ไม่รู้ด้วยว่า หลังจากวันนี้ที่พี่เจอเพื่อนพี่แล้ว พี่จะได้มีโอกาสกลับมาเจอพวกมันอีกไหม
.
.
มื้อเย็นนี้มันอาจเป็นการกินข้าวกับเพื่อนสวนกุหลาบครั้งสุดท้ายของพี่แล้วก็ได้
.
.
ซึ่ง
งานเลี้ยงจากเหย้าเย็นนี้ของน้อง
ก็ไม่ต่างกัน
.
ช่วงเวลาหกปีที่น้องมาอยู่ในรั้วสวนกุหลาบกับเพื่อนๆของน้องมันมีคุณค่ามาก และการที่วันนี้เพื่อนๆน้องยังมาอยู่ข้างน้องได้ น้องกำลังจะลงไปร่วมงานเลี้ยง ร่วมร้องเพลงกัน ไปล้อมวงจุดเทียนพูดคุยกัน มันพิเศษมากๆครับน้อง มันพิเศษมาก และน้องไม่มีทางรู้เลยว่าน้องจะได้มีโอกาสกลับมาเจอเพื่อนอีกไหม
.
เพราะงั้น พี่หวังว่า น้องใช้ช่วงเวลาตรงหน้าน้องอย่างเต็มที่ที่สุด เห็นความสำคัญของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าน้อง คนที่น้องกำลังคุยด้วย มื้ออาหารที่น้องกำลังกิน เพลงที่น้องกำลังร้อง และเพื่อนที่น้องกำลังกอดคอร้องไห้
.
.
เพราะน้องโชคดีที่ชีวิตยังมอบวันนี้ให้กับน้อง และน้องไม่มีทางรู้ว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายแล้วหรือยัง
.
ขอให้สิบปีต่อจากนี้ของน้อง เป็นช่วงเวลาที่น้องเต็มที่กับทุกโมเม้นตรงหน้า แล้วถ้าวันหนึ่งเวลาของน้องหมดลง น้องจะไม่เสียใจหรือเสียดายกับชีวิตที่น้องได้ใช้ไปครับ
“
.
.
.
.
นี่คือส่วนหนึ่งของเนื้อหาที่ผมพูดกับน้องในวันนั้นครับ คงไม่สามารถเล่าความประทับใจ หรือเล่าว่าพูดอะไรไปได้ทั้งหมด บรรยากาศที่เกิดขึ้นในหอประชุมนั้นมันไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้จริงๆ ทั้งสนุกและมีพลังมากๆ หลังพูดเสร็จน้องยกมือถามเยอะกว่าเวลาผมไปสอนหนังสือเยอะเลย แล้วคำถามก็น่าสนใจด้วยครับ ขอบคุณน้องที่ตั้งใจฟัง และขอบคุณอาจารย์สวนกุหลาบที่ให้โอกาสไปพูดกับน้องๆครับ
.
.
การได้มาพูดคุยกับน้องนี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหวังของชีวิตผมไปมากๆ
หนึ่งชั่วโมงที่อยู่บนเวทีนี้ มีคุณค่ากับผมมากจริงๆ
และมันอาจจะเป็นเวทีสุดท้ายของผมแล้วก็ได้
.
ผมไม่มีทางรู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะตื่นมาแล้วยังปกติอยู่ไหม
ผมอาจจะไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้แล้ว
และผมอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมาพูดงานนี้
.
แต่ในขณะที่ชีวิตยังให้โอกาสผมปกติมากพอที่จะไปพูดกับน้อง รวมถึงการที่ผมยังสามารถมาเขียนโพสต์นี้ได้
.
ผมว่า
“วันนี้” ผมโคตรโชคดีเลยครับ
.
ขอให้ทุกคนมี “วันนี้” ที่มีความสุขครับ
---------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------
สู้ดิวะ
1 มีนาคม ·
“ดอยสุเทพเป็นศรี ประเพณีเผ่าป่า จะไปตังไดก่อแสบต๋า บ่ไหวละก้า นครพิงค์”
.
สวัสดีครับ
วันนี้จะมาชวนคุยเรื่องปัญหาฝุ่นควันหน่อยครับ
.
ออกตัวก่อนเลยครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม และแม้แต่ในมุมหมอเองผมก็ไม่ใช่แพทย์เฉพาะทางโรคปอดครับ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะมาชวนคุยในวันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้ลงลึกหรือเป็นการแนะนำอะไรเลยครับ เท่าที่ผมทราบก็มีผู้เชี่ยวชาญ มีอาจารย์ที่มีองค์ความรู้มีประสบการณ์ และผู้มีอุดมการณ์ในการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของประเทศเรากำลังขับเคลื่อนให้ส่วนกลางและโครงสร้างประเทศขยับเพื่อแก้ปัญหานี้อยู่ครับ
.
.
ผมคิดว่าเราคงไม่ต้องเกริ่นเรื่องปัญหาฝุ่นควันกันมากครับ เราพอจะรู้ปัญหานี้กันอยู่แล้ว ทั้งการติดอันดับโลกของฝุ่นในประเทศเรา สภาพอากาศที่ทุกท่านเห็นในทุกวัน ตัวเลขผู้ป่วยที่มากขึ้นทุกปี ในมุมของผม เท่าที่ผมจำความได้คือช่วงที่ผมเป็นนักศึกษาแพทย์ช่วงปีสองเนี่ยแหละครับ ที่เริ่มเห็นว่าฝุ่นในจังหวัดเชียงใหม่นั้นเริ่มเยอะจนน่าตกใจจริงๆ แต่รูปแบบการทำงานของผมที่อาจจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝุ่นได้ตลอดเวลา ทั้งการราวน์คนไข้ การอยู่เวร แต่ผมก็มองว่าร่างกายผมเนี่ยก็น่าจะติดอันดับวัยรุ่นที่ร่างกายฟิตอันดับต้นๆอยู่แหละน่า เราไปออกกำลังกายได้ฝึกปอดฝึกหัวใจ สูดฝุ่นหน่อย ก็หักล้างกันไป ไม่เป็นไรหรอก
.
คนอื่นก็สูดกัน ไม่เป็นไรหรอกน่า
.
แล้ว
ผมก็เป็นมะเร็งปอดครับ
.
พูดบ่อยเหมือนกันนะครับ คำว่า
“แล้ว ผมก็เป็นมะเร็งปอดครับ” เนี่ย
.
โอเค ผมไม่ได้บอกว่าฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมกลายเป็นมะเร็งปอด เพราะก็มีคนอื่นที่สูดฝุ่นเหมือนกัน การเกิดมะเร็งในปอดผมมันเกิดจากหลายปัจจัยรวมๆกัน โดยเฉพาะตัวหลักคือกรรมพันธุ์ของครอบครัวผม
.
แต่ กรรมพันธุ์มันก็เหมือนกับลูกโม่ที่อยู่ในปืนแหละครับ ส่วนสิ่งแวดล้อมที่เราเจอมันก็เหมือนคนลั่นไกปืนนั้น เราเปลี่ยนพันธุกรรมและสายเลือดเราไม่ได้ก็จริง แต่เราน่าจะจัดการกับสิ่งแวดล้อมได้นะครับ
.
เพราะผมเองก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าเรื่องฝุ่นควันนี่แหละที่เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเกิดมะเร็งปอดครับ
.
ปัจจุบันผลการศึกษา งานวิจัยในห้องทดลอง งานวิจัยคลินิก งานวิจัยในระดับชุมชน มันพิสูจน์มาหมดแล้วครับ พวกตัวเลขค่าฝุ่นเท่านี้เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่กี่มวนอะไรแบบนี้ ลองหาข้อมูลได้เลยครับ มีเยอะแยะ ทุกท่านสามารถไปหาข้อมูลเพิ่มได้เลยครับ ว่ามันทำให้เกิดอะไรกับร่างกายพวกคุณยังไงบ้าง
.
ตัวที่ดูอันตรายชัดๆอย่างพวกฝุ่นที่มีขนาดเล็กอย่าง PM2.5 มันจะสามารถผ่านขนจมูก ผ่านการกรองในร่างกายของเราเข้าไปได้เลย เอาคร่าวๆคือสูดปุ้บ เข้าเส้นเลือดเลย นึกออกไหมครับ เราสูดปุ้บ ฝุ่นเล็กๆนี้มันสามารถผ่านทุกกำแพงของร่างกายแล้วพุ่งเข้าสู่เส้นเลือดเราได้โดยตรงเลย จากนั้นมันก็ไปแสดงพลังทั่วร่างเรานั่นแหละครับ
.
ดังนั้น พวกผลกระทบต่อร่างกาย เอาที่ผมนึกออกเร็วๆตอนนี้เลยก็คือ ถ้าเด็กสูดฝุ่นขนาดเล็กแบบนี้เข้าไป จะทำให้เป็นภูมิแพ้ เป็นหอบหืด สมองทำงานได้แย่ลง ฉลาดน้อยลง คุณครับ อนาคตของชาตินะครับเนี่ย ถ้าเป็นวัยรุ่นสูดไปก็เนี่ยครับ เป็นมะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร ในคนอายุน้อยๆ เป็นโรคถุงลมโป่งพอง เหมือนคนสูบบุหรี่อะครับ ทั้งๆที่คนเหล่านั้นไม่ได้สูบแต่แค่เขาหายใจในอากาศแบบนี้ก็เหมือนสูบแล้วครับ นอกเหนือจากนี้ มันยังทำให้เส้นเลือดอักเสบ ส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง เป็นแขนขาอ่อนแรง โรคหลอดเลือดหัวใจ เส้นเลือดหัวใจตีบ หรือไปทำให้สมองเสื่อม ความจำแย่ลง อะไรก็ได้หมดครับเพราะฝุ่นนี่มันเข้าไปในเส้นเลือดคุณแล้ว
.
ทุกท่านก็คงพอเห็นภาพความอันตรายของมันพอสมควรอยู่แล้วนะครับ
.
คราวนี้มุมที่ผมอยากจะมาแชร์วันนี้เป็นเรื่องแนวทางการจัดการกับตัวเองเพื่อป้องกันฝุ่นอันตรายเหล่านี้มากกว่าครับ
เพราะตั้งแต่เปิดเพจมา มีคนที่อายุใกล้เคียงกับผมแล้วเป็นมะเร็งกันเยอะมากกว่าตัวเลขที่ประเทศเราเคยประกาศไว้เยอะมากครับ ประชาชนคนไทยที่อายุน้อย ที่เป็นความหวังของมนุษยชาติ เราเจ็บป่วยและเป็นมะเร็งกันเยอะขึ้นจริงๆครับ
.
ผมหวังว่าสิ่งที่เอามาแชร์วันนี้จะช่วยทำให้ คนที่ยังโชคดีไม่เกิดปัญหาสุขภาพเหล่านั้น จะยังคงมีสุขภาพดีแบบนั้นต่อไปครับ
.
ประเด็นแรกผมคงต้องพูดถึงเรื่องการติดตามค่าฝุ่นก่อนเลยครับ
.
ค่าที่เรานิยมดูคือค่า AQI (air quality index) เป็นดัชนีบอกคุณภาพของอากาศครับ ซึ่งเอาคร่าวๆ ค่านี้เป็นค่าที่บอกว่าอากาศที่เราหายใจอยู่นั้นมีสิ่งแปลกปลอมปนอยู่เยอะแค่ไหน ซึ่งมันประกอบไปด้วยหลายอย่างครับ ฝุ่นก็มีหลายขนาด เช่น สมมติเราเจอค่าฝุ่น AQI 150 อาจจะมีค่า PM2.5 อยู่ 80 อะไรแบบนี้ครับ
ประเด็นสำคัญต่อไปคือ แล้วเขาวัดค่า AQI นี้ยังไง ถ้าเอาจากแอพที่เป็นที่นิยมที่สุดน่าจะเป็น IQAir ซึ่งเครื่องที่จะทำตัวเป็นศูนย์วัดค่าฝุ่นได้ จะต้องได้รับการยอมรับจากต้นสังกัดว่าคุณมีเครื่องมือที่เชื่อถือได้ในการวัดครับ ดังนั้นเราจะตีความเรื่องนี้ได้ว่า ค่าที่เราเห็นเป็นค่าของจุดที่มีเครื่องวัดที่ได้รับการรับรองนะ ไม่ได้แปลว่า ณ จุดที่เราอยู่มีค่าฝุ่นเท่านั้นจริงๆ
.
ส่วนเครื่องที่เราซื้อวัดกันเอง หรือค่าที่แสดงในเครื่องฟอกอากาศในบ้าน มักจะเป็นค่า PM2.5 ใช่ไหมครับ ซึ่งจากที่ผมสังเกตคือค่า PM2.5 จะมีค่าประมาณครึ่งนึงของ AQI ครับ แต่ตรงนี้ไม่ใช่ค่าแท้จริง เป็นเพียงค่าการประมาณนะครับ ดังนั้นถ้าเครื่องฟอกสีขาวในห้องของท่านแสดงค่า PM2.5 เป็น 100 แปลว่าที่จริงแล้วคุณภาพอากาศในห้องคุณน่าจะปนเปื้อนที่ 200 บวกๆครับ ซึ่งถามว่าแค่ไหนถึงน่ากลัว เท่าที่ผมทราบองค์กรอนามัยโลกตั้งไว้ที่ PM2.5 เฉลี่ยต่อวันเกิน 37.5 ถือว่าอันตรายกับสุขภาพมนุษย์แล้วครับ
.
คราวนี้พอเราสามารถติดตามได้แล้วว่าค่าฝุ่น ณ จุดที่เราอยู่เป็นเท่าไร ถ้ามันสูงเราก็ต้องหาทางทำให้ร่างกายเราโดนฝุ่นน้อยที่สุดเนาะ ซึ่งวิธีการเหล่านั้นก็ตรงไปตรงมาครับ
.
ง่ายที่สุดคือลดการสูดฝุ่นเลยครับ ลดการออกกำลังกายกลางแจ้ง หรืออะไรก็ตามที่สามัญสำนึกของทุกท่านทราบดีอยู่แล้วว่ามันทำให้เราจะต้องสูดฝุ่นอันตรายเหล่านี้เข้าไปในร่างกายมากขึ้น ก็หลีกเลี่ยงมันเถอะครับ ผมไม่ได้บอกว่าทุกคนที่สูดฝุ่นแล้วจะต้องเป็นมะเร็ง แต่การที่ผมเป็นมะเร็งเนี่ย มันก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องการเพิ่มโอกาสเสี่ยงนะครับ
.
ในส่วนของการใส่หน้ากากที่ต้องกรองฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ได้ ไม่ใช่แค่หน้ากากธรรมดาที่เราใส่แน่ๆ เพราะฝุ่นมันขนาดเล็กมากพอที่จะลอดผ่านเส้นใยของหน้ากากธรรมดาเข้าไปสู่ขั้วปอดเราได้ ดังนั้น ในช่วงที่ฝุ่นเยอะเราต้องใส่หน้ากากที่จริงจังขึ้น อาจจะเป็นหน้ากาก N95 หรือหน้ากากอะไรที่ใส่แล้วอึดอัดหน่อยเพื่อกรองฝุ่นพวกนี้ออกไปให้มากที่สุดครับ
.
เรื่องเครื่องฟอกเองก็ดูตรงไปตรงมา ทุกวันนี้ผมก็ใช้ทั้งในห้องนอน และในรถยนต์ ที่ผมอยากเสริมคือไม่ว่าจะใช้ของยี่ห้อไหน ราคาเท่าไร สิ่งที่สำคัญคือทุกท่านควรทราบว่าการฟอกอากาศนั้นเป็นการวนเอาอากาศในห้องมาทำให้สะอาดขึ้นเท่านั้น อากาศใหม่ที่เข้ามาจากด้านนอกยังคงมีฝุ่นขนาดที่เล็กมากพอจะผ่านเนื้อเยื่อเราไปได้ ทำไมมันจะผ่านช่องหน้าต่างประตูเข้าห้องเรามาไม่ได้ละครับ
ดังนั้นหลายๆครั้ง ในวันที่ฝุ่นเยอะมากๆ ต่อให้เราปิดประตูหน้าต่างมิดชิด เครื่องฟอกก็ยังไม่สามารถฟอกให้ฝุ่นลงไปจนหมดได้ เพราะมันยังมีแรงดัน มีฝุ่นที่เล็ดลอดเข้ามาได้อยู่ดีครับ ที่สำคัญคือบางร้านอาหาร ร้านกาแฟที่เป็นร้านปิด เองก็ไม่ได้มีเครื่องฟอกด้วยนะครับ แถมประตูเปิดปิดบ่อยด้วย บางทีผมไปนั่งร้านกาแฟแล้วลองเปิดเครื่องวัดฝุ่นดู ก็พบว่าค่า PM2.5 ในร้านนั้นก็อยู่ในช่วงเกือบๆ 100 อยู่นะครับ
.
คราวนี้หลังจากที่ผมป่วยเป็นมะเร็งปอด ผมเองก็ต้องจริงจังกับเรื่องฝุ่นนี้มากขึ้น ผมจึงได้มาพบกับหลักการของห้องแรงดันบวกครับ หลักการคร่าวๆของมันคือ เราจะทำการสร้างห้องปิดขึ้นมา เสร็จแล้วเราก็ใช้เครื่องกรองที่มีคุณภาพมากๆ ทำความสะอาดอากาศก่อนที่จะเข้ามาสู่ห้องเรา อากาศที่เข้ามาสู่ห้องเราจะเป็นอากาศสะอาดเท่านั้น แล้วพอเราดันอากาศมาในห้องแบบนี้จะทำให้ในห้องเรามีแรงดันเป็นบวก ส่งผลให้แรงดันนั้นไปปิดรูรั่วที่ปกติจะมีฝุ่นไหลเข้ามาได้ด้วย หลักการนี้ใช้กับพวกห้องผ่าตัดเลยครับ นึกภาพว่าในห้องผ่าตัดเราคงไม่ยอมให้ฝุ่นหรือแมลง ลงไปติดลำไส้คนไข้ใช่ไหมครับ
.
หลังจากผมตัดสินใจติดตั้งเครื่องแรงดันบวกนี้ คุณภาพอากาศในห้องผมดีขึ้นมาก เครื่องฟอกในห้องเองก็ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถฟอกจนอากาศสะอาดได้จนสุดเลย แล้วก็มีการเติมอากาศสะอาดใหม่เข้ามาตลอดเวลาด้วย
ถ้ามีท่านที่สนใจจะติดเครื่องแรงดันบวกนี้ ท่านต้องปรึกษากับทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญก่อนนะครับ ตัวผมเองก็ไม่ได้เซียนพอจะสอนหลักการอะไรครับ เอาเป็นว่าถ้าสนใจ ลองหาทีมงานปรึกษาดูครับ สำหรับท่านที่อยู่เชียงใหม่ สามารถทักมาถามทีมงานที่ผมตัดสินใจปรึกษาได้ครับ
.
โอเคครับ สิ่งที่ผมอยากจะมาแชร์น่าจะมีเท่านี้ครับ
.
.
แต่สิ่งที่ผมอยากมาตั้งคำถามมันมีต่ออีกนิดหน่อย
.
คำถามของผมต่อโครงสร้างการบริหารประเทศ คือมันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือไม่ ที่ต้องแบกรับค่าหน้ากาก ค่าเครื่องฟอก รวมถึงเครื่องแรงดันบวก
.
เราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริงๆเหรอ?
.
ทำไมเราถึงยังไม่เห็นความชัดเจนในการให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอากาศ หรือความชัดเจนในการพยายามหาต้นตอของปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ ประเทศไทยกลับยังไม่มีงานศึกษาที่ชัดเจนและลงลึกถึงสาเหตุ PM 2.5 หลัก ๆ ในประเทศไทยว่าตกลงอะไรคือสาเหตุหรือแหล่งกำเนิดหลักของ PM2.5 ในประเทศแต่ละภาคส่วนกันแน่
นโยบายหาเสียงหรือแผนการรับมือต่างๆก็ทำกันแบบเร่งด่วนทุกปี
.
เราจะไม่แก้ปัญหาคุณภาพอากาศของประเทศกันแบบยั่งยืนจริงหรอครับ?
.
.
ขอบคุณภาพจาก อ.นพ. รังสฤษฎ์ กาญจนะวณิชย์
---------------------------------------------------------------------------------
สู้ดิวะ
2 มีนาคม ·
เช้านี้ผมขึ้นตื่นมาพร้อมกับค่าฝุ่น 186 ในห้องที่กำลังรอรับการฉายแสงครับ
.
ผมก็ไม่ได้บอกว่า ฝุ่นควันในเชียงใหม่เป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้ผมเป็นมะเร็งหรอกครับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีผล
.
ปัจจุบันผลการศึกษามากมาย มันพิสูจน์มาหมดแล้วครับ พวกตัวเลขค่าฝุ่นเท่านี้เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่กี่มวนอะไรแบบนี้ ลองหาข้อมูลได้เลยครับ
.
และตอนนี้ผมอาการไม่สู้ดีนัก กำลังเข้ารับการรักษาด้วยการฉายแสงให้กับมะเร็งในสมองก้อนใหม่
.
เวลาของผมเหลือน้อยลงทุกทีแล้วครับ
.
ในระหว่างที่ผมนั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล ผมก็คิดว่า
ยังมีเรื่องไหนที่ผมอยากพูด แต่ยังไม่ได้พูด
.
หนึ่งในนั้นก็คือ เรื่อง ฝุ่น PM 2.5
.
อย่างที่ทุกท่านทราบตัวผมเองเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลที่ชอบออกกำลังกายมากครับ แน่นอน ถึงผมจะพอมีความรู้ แต่ผมก็คือวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง ที่ความฝันในการได้แชมป์บาสเกตบอลของผมมันใหญ่มากพอที่จะทำให้ผมไปซ้อมในวันที่ค่าฝุ่นแย่มากๆ
ผมก็มองว่าร่างกายผมเนี่ยก็น่าจะฟิตอยู่แหละ เราไปออกกำลังกายได้ฝึกปอดฝึกหัวใจ สูดฝุ่นหน่อย ก็หักล้างกันไป ไม่เป็นไรหรอก
.
คนอื่นก็สูดกัน ไม่เป็นไรหรอกน่า
.
แล้ว
.
ผมก็เป็นมะเร็งปอดครับ
.
ผมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็ง ติดเครื่องฟอกอากาศทั้งในรถยนต์ และในบ้าน ต้องติดตั้งห้องความดันบวก เพื่อให้อากาศมันสะอาดจริงๆ
.
.
คำถามที่ผมมี คือมันเป็นความรับผิดชอบของประชาชนจริงหรือไม่ ที่ต้องแบกรับค่าหน้ากาก ค่าเครื่องฟอก ประชาชนหลายอาชีพเองก็ไม่ได้สะดวกพอที่จะหลีกเลี่ยงฝุ่นอันตรายนี้
ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะติดตั้งเครื่องมือที่จะเพิ่มคุณภาพอากาศที่พวกเขาต้องหายใจเข้าไปทุกวันนี้
.
มันน่าเศร้ามากเมื่อมองว่าความเหลื่อมล้ำของประเทศเรามันไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจแต่เป็นตั้งแต่พื้นฐานเรื่องของอากาศหายใจที่แสนจะสำคัญต่อชีวิตคน
.
“เราต้องเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศที่ต้องซื้ออากาศหายใจจริงๆเหรอ?”
.
ผมไม่ใช่นักการเมือง และผมไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการ ผมเป็นเพียงประชาชนที่เกิดคำถามเชิงโครงสร้างต่อ “การจัดลำดับและให้ความสำคัญกับคุณภาพอากาศที่ประชาชนอย่างเราหายใจกันอยู่ทุกวันนี้”
.
ผมคิดแบบตรรกะของคนทั่วไปเลยคือเราควรต้องเริ่มแก้ปัญหา PM2.5 ให้ตรงจุดก่อนไหมครับ ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญหรือให้น้ำหนักกับการแก้ไขปัญหาที่แหล่งกำเนิดของ PM2.5 อย่างจริงจังมากพอมันจะต้องมีหน่วยงานจริงจังขึ้นมาแล้ว เพื่อร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ คนเก่งๆในประเทศเรามีเยอะแยะ งบประมาณเราก็มี นักการเมืองก็มี นักวิชาการก็มี คนที่ประสบปัญหา คนที่ออกมาเรียกร้องก็มีมากมาย
.
ประเทศเราติดอันดับปัญหาฝุ่นในระดับโลกกันมาติดต่อกันหลายปี ทำไมเราถึงยังไม่เห็น “ความชัดเจนในการให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพอากาศ” หรือความชัดเจนในการพยายามหาต้นตอของปัญหาเฉพาะแต่ละพื้นที่ มันไม่ใช่แค่การเผาป่า หรือปัญหารถติด มันมีหลายสาเหตุแหละครับที่ทำให้มีปัญหาฝุ่น
.
แต่ประเทศไทยกลับยังไม่มีงานศึกษาที่ชัดเจนและลงลึกถึงสาเหตุ PM 2.5 หลักๆ ในประเทศไทยว่าตกลงอะไรคือสาเหตุหรือแหล่งกำเนิดหลักของ PM2.5 ในแต่ละภาคส่วนกันแน่
มันถึงจุดที่จะต้องมีการวิเคราะห์และไปแตะสิ่งที่เป็นรากฐานของปัญหาของฝุ่น PM2.5 อย่างแท้จริงสิ บ้านเราจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นได้อย่างยั่งยืนสักที
.
จริงไหมครับ?
.
เราจะแก้ปัญหาฝุ่นควันแบบเป็นปัญหา “เร่งด่วน” ไปทุกปีแบบนี้ไม่ได้นะครับ
.
.
ผมน่ะ คงอยู่ได้ไม่นานหรอกครับ
.
แต่เด็กน้อยแสนน่ารักที่ทักทายผมในลิฟท์หลังจากที่ผมไปฉายแสงมาเมื่อวาน
.
ผมแค่คิดว่าเด็กเหล่านั้นไม่ควรต้องมารับความเสี่ยงกับโรคร้ายหรือภาวะเจ็บป่วยเหมือนกับผม เขาควรจะได้มีสิทธิพื้นฐานของมนุษยชาติ คือการได้มีอากาศสะอาดหายใจ
ได้เล่นบาสกับเพื่อนกลางแจ้ง
โดยที่ไม่ต้องใส่หน้ากาก
.
เขาไม่ควรต้องมา”ซื้ออากาศหายใจ”ครับ
.
ผมเพียงหวังให้เขาได้เติบโตในประเทศที่มีอากาศสะอาด และมีสุขภาพที่แข็งแรง มีชีวิตที่สดใสร่าเริงไปได้นานที่สุดครับ
---------------------------------------------------------------------------------
สู้ดิวะ
9 มีนาคม ·
สวัสดีครับ
วันนี้อยากจะมาชวนคุยเรื่องที่น่าสนใจสั้นๆเรื่องหนึ่งครับ
“ทำไมเราถึงยังตายไม่ได้ครับ?”
อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้เรายังต้องอดทนมีชีวิตอยู่ต่อไป ทั้งที่ชีวิตส่วนใหญ่แล้วก็ต้องดิ้นรน ชีวิตที่แสนเปราะบางและควบคุมอะไรไม่ได้เท่าไร
ชีวิตที่หลายครั้งตอบแทนความพยายามของเราด้วยความผิดหวังอยู่บ่อยๆ
.
แม้ว่าที่ผ่านมา ผมเองจะได้แชร์มุมมองอย่าง
.
“การตระหนักว่าเวลาในชีวิตเรามีจำกัด”
“การรับรู้ถึงความโชคดีของการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน”
“การใช้เวลาของแต่ละวันไปกับสิ่งสำคัญและใช้ชีวิตให้มีคุณค่าในตอนที่ยังมีโอกาสได้ทำ”
.
ผม ที่พูดกับตัวเองว่า
.
.
“สู้ดิวะ”
.
.
‘เอาหน่อยดิวะ มันยังมีทางไปต่อ ชีวิตยังไม่จบ ยังมีลมหายใจก็สู้ดิวะ’
ผมบอกตามตรงว่า นอกจากชื่อเพจแล้วนั้น ผมไม่พูดคำนี้กับใครมาสักพักละครับ เพราะผมรู้ดีว่าในชีวิตของทุกคนนั้น ทุกคน ‘สู้เต็มที่อยู่แล้ว’
โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคร้าย หรือคนที่พบวิกฤตปัญหาในชีวิตหนักๆ ทุกคนเขา สู้เต็มที่
สู้.. จนไม่รู้จะสู้ยังไงกันอยู่แล้ว
.
พวกคำว่า “สู้ๆนะ สู้ต่อไป สู้ดิวะ” อะไรพวกนี้ บางทีมันอาจไปทำให้หลายคนรู้สึกว่า
‘นี่กูยังสู้ไม่พอเหรอ? หรือ ลองมาเป็นกูดูไหมล่ะ?’
.
ดังนั้น ผมจึงไม่พูดคำพวกนี้กับใครเลยครับ
ยกเว้นชื่อเพจ ที่ตั้งเพื่อบอกกับตัวเองเท่านั้น
.
.
ที่จะมาชวนคุยวันนี้ คือ ผมดันเกิดคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาครับว่า
.
“สู้ไปทำไมวะ?”
.
จริงๆ มันเป็นอะไรที่เข้าใจได้มากๆเลยนะครับ ที่พอเราสู้กับอะไรมาสักพักแล้วเราจะท้อหรืออ่อนแอ อยากปล่อยจอย แล้วยอมแพ้ไปซะให้จบๆ
.
ผมคงจะเป็นไอ้ขี้โม้คนหนึ่ง ถ้าจะมาบอกว่าผมรับมือกับทุกอย่างได้ดี มีสภาพจิตใจและทัศนคติอันทรงพลังยอมรับกับทุกความทรมานที่ต้องเจอ แล้วยิ้มให้กับมัน สู้ไปกับมันได้ตลอด
.
ผมกลับมองว่า “ผมเป็นคนธรรมดา” ทีกำลังเกิดคำถามต่อสิ่งที่ตัวเองกำลังสู้อยู่
.
เกิดคำถามว่า ‘เราจะอดทนต่อไปเพื่ออะไรกันนะ?’
.
เพราะอย่างโรคของผมเอง ที่โดยภาพรวมตอนนี้ก็ไม่ได้ถือว่าจะตายกันในวันสองวัน แต่แนวโน้มมันก็ยังคงเป็นโรคที่รุนแรง ล่าสุดเจ้าก้อนในสมองเองก็มีการกำเริบ ผมจำเป็นต้องได้รับการรักษาฉายแสงรังสีรักษาทั่วทั้งศีรษะ ซึ่งแน่นอนว่าการเอาเนื้อสมองทั้งหมดไปรับรังสีนั้นจะต้องเกิดผลข้างเคียงทางสมองแน่ๆ แค่เกิดเร็วหรือช้า เกิดมากหรือน้อยเท่านั้น ผมต้องเริ่มทานยาทางสมอง รับผลข้างเคียงจากยาเหล่านั้น เพียงเพื่อให้สมองผมจะยังคงพอทำงานได้ที่หกเดือนหลังจากนี้
.
.
.
“ทำไมเรายังตายไม่ได้นะ?”
.
ผมถามตัวเองในระหว่างรับการรักษาในช่วงที่ผ่านมา
.
ผมเองไม่ใช่วันรุ่นคนเดียวของประเทศนี้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายครับ มีอีกหลายคนที่ชีวิตต้องเผชิญกับปัญหาหรือโรคร้ายที่ไม่รู้จะผ่านไปได้ยังไง ต้องเจอกับความจริงที่แสนโหดร้ายของโลกใบนี้ที่อาจจะมากกว่าที่ผมเจอด้วยซ้ำ
.
มันคงเป็นธรรมดาหากเราจะเกิดคำถามว่า
“เราสู้ไปทำไมวะ?”
“เราอดทนต่อไปเพื่ออะไรวะ?”
.
วันที่เหตุผลในการพยายามมีชีวิตอยู่นั้น กลายเป็นสิ่งที่ต้องมีพลังมากพอที่จะทำให้เรายังสู้ต่อ
.
.
ผมเองใช้เวลาหาคำตอบนานมากเลยครับ
เพราะสำหรับผมแล้วมันยากครับ ผมไม่ได้รู้สึกเลยว่า การที่ยังไม่ได้ตำแหน่งวิชาการ ยังไม่ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือยังไม่ได้มีสิ่งนั้นสิ่งนี้จะเป็นเหตุผลให้อดทนสู้ต่อ
.
สมมติวันนี้ผมหายไป ก็จะมีคนมาทำงานแทนผมได้ ทีมงานผมจะยังเข้มแข็ง น้องสาวและพ่อแม่ผมก็ดูแลตัวเองได้ดีมาก ไม่น่าเป็นห่วงเลย เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ผมรักทั้งหลายนั้นก็มีชีวิตที่ยอดเยี่ยม พวกเขาคงจะคิดถึงผม คงจะเสียใจถ้าผมหายไปแหละ แต่ผมก็เชื่อว่าเขาจะยังจำเรื่องราวตอนที่เราอยู่ด้วยกันได้ และเชื่อว่าเรื่องราวของเราจะเป็นสิ่งดีๆในชีวิตพวกเขาในวันที่ผมไม่อยู่
.
.
ผมก็เลยเกิดความคิดแว่บขึ้นมาว่า หรือจริงๆ
.
.
“...เราไม่ต้องอดทนต่อแล้วก็ได้ไหม?”
.
.
.
แต่
.
.
ผมว่าผมก็ยังอยากร้องเพลงในงานแต่งตัวเองนะ
ผมยังอยากชวนเพื่อนมาเที่ยวบ้านใหม่
ยังอยากไปดูคอนเสิร์ตโปเตโต้อีกสักครั้ง
ยังหวังจะได้เห็นรัฐบาลที่จริงจังในการแก้ปัญหาฝุ่นควันของประเทศ
.
รวมถึงการที่ผมกำลังนั่งเขียนเพจสู้ดิวะอยู่ตอนนี้ ถึงมันจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากมายอะไร
.
แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่า
.
“การที่เรายังคงมีชีวิตอยู่ตอนนี้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรเลยนี่นา”
.
.
และที่สำคัญที่สุด
เมื่อผมหันไปมองทันตแพทย์หญิงหน้าตาดีมีอนาคต ที่ลางานมานอนเฝ้าผมที่โรงพยาบาลตลอดทั้งช่วงการฉายแสงนี้
.
ผู้หญิงที่บอกผมทุกวันว่า
.
“เช้าแล้วนะ วันนี้โลกให้เวลาเรามาใช้ด้วยกันเพิ่มอีกหนึ่งวันแล้ว ดีจังเลยเนาะ”
.
.
ผู้หญิงที่อาจจะรักผม มากกว่าที่เขารักตัวเอง
ผู้หญิงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้ก็ยัง ‘ยุติธรรม’ แม้จะต้องมาป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแบบนี้
.
.
.
ดังนั้น
ผมจึงให้เหตุผลในการต่อสู้กับตัวเองในตอนนี้ว่า
.
“เพราะยังอยากใช้เวลากับพีมให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
.
ยังอยากมีช่วงเวลาที่น่าจดจำด้วยกันอีกเยอะๆ อยู่เป็นของขวัญให้กันและกันแบบนี้อีกสักหน่อย ร่วมกันสร้างช่วงเวลาแห่งความทรงจำให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อวันหนึ่งที่เวลาของผมมาถึง พีมจะใช้ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นความอบอุ่นให้เขายังมีชีวิตที่มีความสุขต่อไปได้อีกสักพักใหญ่ๆ
.
.
สำหรับผมแล้ว เหตุผลเหล่านี้มีพลังมากพอที่จะช่วยให้ผมยังอดทนกับทุกอย่างที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตต่อจากนี้แล้วมั้งครับ
.
.
นี่คงเป็นคำตอบสำหรับผมในวันนี้
ที่มีต่อคำถามว่า
.
“สู้ไปทำไมวะ”
.
.
.
แล้วทุกท่านล่ะครับ
อะไรเป็นเหตุผลให้ท่านยังพยายามอดทนต่อสู้กับชีวิตที่ไม่ได้สวยงามนี้อยู่?
.
ผมเอง เคยอ่านคำถามนี้มาก่อนครับ ตอนนั้นเข้าไปอ่านคำตอบของคนอื่นด้วย คนไทยน่ารักครับ คำตอบก็หลากหลายกันไปตามสภาพชีวิตที่แต่ละคนเจออยู่
ผมเจอว่าเหตุผลที่ยังตายไม่ได้นั้นมันเป็นไปได้ทุกอย่างเลยครับ
.
ตั้งแต่การกลัวไม่มีคนให้อาหารแมว กลัวต้นไม้ที่บ้านตาย การรอของที่ pre-ordered ไว้มาส่ง หรือการรอดู Attack on titan final season ปลายปีนี้
.
เหตุผลเหล่านั้นมันอาจเพียงพอแล้วให้หลายคนยังอยากต่อสู้กับชีวิตต่อไป
ซึ่งผมอ่านแล้วยิ้มตามกับทุกคำตอบเลยจริงๆครับ รู้สึกยินดีกับเขาเหล่านั้นมากๆ
.
.
ยังไงก็ตาม โลกนี้ยังมีคนอีกมาก ที่ชีวิตอาจจะไม่สามารถหาเหตุผลที่เพียงพอในการมีชีวิตอยู่เจอได้ด้วยตัวเองแล้ว
ส่วนตัวผมมองว่าสิ่งสำคัญคือเราต้องรู้ว่า
เราต้องการ ‘ความช่วยเหลือ’ แล้วนะ
.
อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นครับ
.
อย่าลังเลที่จะปรึกษาบุคคลกรที่ดูแลเรื่องสุขภาพจิต
อย่างผมเองก็ได้ปรึกษาเพื่อน ปรึกษาอาจารย์หมอจิตเวชเพื่อช่วยให้ผมจัดการกับโจทย์ที่ยากแบบนี้ได้ดีขึ้นครับ
.
หรืออย่างน้อยที่สุด
ทักเพจผมมาก็ได้ครับ ผมเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญและคงไม่สามารถตอบทุกคนได้ดีแบบทันที
แต่ผมพร้อมที่จะรับฟังและยินดีที่จะให้กำลังใจกับทุกคนจริงๆครับ
.
.
ส่วนคนที่ชีวิตยัง’โชคดีพอ’ที่จะไม่เกิดคำถามพวกนี้กับตัวเอง ผมก็ยังคิดว่าการที่เราพยายามหาเหตุผลนั้น
ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น
จริงไหมครับ
.
ขอให้ทุกท่านพบ
“เหตุผลในการมีชีวิตอยู่” ของตัวเองครับ ดูน้อยลง
---------------------------------------------------------------------------------
วันนี้ผมจะมาทวนเรื่องของตัวเองหน่อยครับ
Median time to progression 6 months
ตัวเลข 6 เดือนนี้สำคัญกับผมมากครับ มันแปลว่าที่ 6 เดือนหลังจากวินิจฉัยจะมี 50% ของคนที่เป็นโรคมะเร็งปอดชนิดนี้ ที่มีการลุกลามของมะเร็งเพิ่มขึ้น และดื้อต่อการรักษาหลักที่กำลังให้อยู่
ตุลาคม 2565
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดที่มีการลุกลามไปสมอง ผมรับการผ่าตัด รับการตรวจทั้งร่างกาย รับยาเคมีบำบัด รับการฉายแสง
พฤศจิกายน 2565
หลังจากรับผลข้างเคียงทุกอย่าง ขนร่วงหมดตัว
ผมเริ่มตั้งหลักกับตัวเองใหม่
ตัดสินใจเปิดเพจ สู้ดิวะ ขึ้นมา เพื่อตั้งใจส่งต่อสิ่งเล็กๆบางอย่าง และมันดันส่งได้จริงๆ
ธันวาคม 2565
ติดตามผลการรักษาครั้งแรกที่ 3 เดือน
ผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บอกว่าก้อนที่ปอดผมมีขนาดเล็กลง และมะเร็งไม่มีการกระจายไปที่อวัยวะอื่นเพิ่มเติม ตัวโรคในภาพรวมยังคงสงบ
แต่ก้อนในสมอง ไม่ใช่แบบนั้น
เนื่องจากยาที่ผมได้มันผ่านเข้าสมองได้น้อยมาก เชื้อมะเร็งในเนื้อสมองผมจึงเริงร่า
ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตเราโคตรไม่แน่นอน สุดท้ายเราจะต้องตายและเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันไหน
มกราคม 2566
อาการผมดีขึ้นมากๆ ผมกลับไปออกกำลังกายได้แทบจะปกติ เล่นบาสได้ ปั่นจักรยานได้ เข้ายิม ฟิตร่างกายให้กลับไปเหมือนตอนก่อนป่วย
ผมได้กลับไปสอนนักศึกษา ได้กลับไปทำงาน เริ่มวางแผนที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป
ผมได้แชร์มุมมองเรื่องงานที่เราอยากทำไปจนวันสุดท้ายกับทุกท่าน
กุมภาพันธ์ 2566
ติดตามในสมอง 3 เดือนหลังจากฉายแสงครบ
ถึงแม้ก้อนที่ฉายแสงไปจะยุบลง
แต่มีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมา 3 ก้อน
ผมตัดสินใจที่จะสังเกตอาการไปก่อน ขอไปพูดกับน้องสวนกุหลาบก่อน แล้วค่อยว่ากันหลังจากนั้น ถ้าทุกท่านจำได้ ในโพสต์นั้น ผมเขียนว่า
“ผมอาจไม่สามารถพูดอะไรแบบนี้ได้แล้วและอาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยมาพูดงานนี้”
ซึ่งผมหมายความแบบนั้นจริงๆเพราะหลังจากได้ไปสวนกุหลาบ
ผมกลับมารับการตรวจสมองอีกครั้งก้อนที่เจอครั้งก่อนนั้น
โตขึ้นเป็นสองเท่า ร่วมกับมีก้อนใหม่เพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้ในหัวผมมีทั้งหมด 13 ก้อนครับ
และผมมีอาการชักร่วมด้วย ผมจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงทั้งศีรษะ เพื่อกำจัดเชื้อมะเร็งที่น่าจะกระจายไปทั่วสมอง ซึ่งก็แปลว่าเนื้อสมองส่วนปกติของผมก็จะโดนรังสีไปด้วย ส่งผลให้สมองผมเสื่อมแน่นอน แค่มากหรือน้อย เร็วหรือช้าเท่านั้น จะเรียนปริญญาเอกอีกใบก็คงจะเป็นไปได้ยากมากๆ ถึงผมจะไม่อยาก แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ.
มีนาคม 2566
ผมเริ่มรับการฉายแสงทั่วศีรษะ โชคไม่ดีเท่าไร สมองผมบวมเยอะ ทำให้ผมมีความดันในกะโหลกเพิ่มขึ้น ผมปวดหัวมากๆ ปวดแบบลูกตาจะกระเด็นออกมา ผมอ้วกพุ่งออกมาทางจมูกด้วยความแรงเดียวกับที่พุ่งออกทางปาก
ผมได้นอนโรงพยาบาลสังเกตอาการ และรับยาสเตียรอยด์เพื่อกดการอักเสบของสมอง ยาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ต้องแลกกับผลข้างเคียงของมัน
หลังจากนอนโรงพยาบาลไปครึ่งเดือน ผมได้กลับบ้านและเขียนโพสต์ว่า
“ทำไมเราถึงยังตายไม่ได้”
เพราะช่วงที่นอนโรงพยาบาลนั้น ผมคิดถึงการยอมแพ้ขึ้นมาจริงๆ
ต้องบอกตรงนี้เลยว่า ผมประทับใจโพสต์นี้ที่สุดตั้งแต่เปิดเพจมาเลยครับ เพราะโพสต์นี้มันมากกว่าการที่คนทักมาให้กำลังใจผม แต่คนในเพจกำลัง ให้กำลังใจ กันและกัน ขอบคุณทุกคนมากครับ น่ารักมากๆเลย
หลังจากนั้นสองวัน
ผมก็มีอาการปวดหัวรุนแรงอีกครั้งผลเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองบอกว่า
ก้อนในสมองผมมีเลือดออกและเลือดนั้นทำให้แรงดันในสมองเพิ่มขึ้น ผมอาจต้องรับการผ่าตัดระบายเลือดออกโชคดีที่สุดท้ายปริมาณเลือดนั้นไม่ได้มากพอที่จะต้องผ่าตัดเปิดสมอง อาการปวดหัวน่าจะเป็นผลข้างเคียงจากการฉายแสงมากกว่า แต่ก็ต้องรอทำเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าดูกันอีกที ระหว่างนี้ก็กินยากดการอักเสบลดสมองบวมต่อไปก่อน ซึ่งพอกินยาตัวนี้ติดต่อกันนานๆ ทำให้ต้องกินยาป้องกันการติดเชื้อราในปอดควบคู่ไปด้วย ค่าผลเลือดต่างๆก็พังไปหมด ทั้งทีออกกำลังกายและคุมอาหารอย่างดีกินยาสม่ำเสมอในขนาดสูงสุด แต่ค่าไขมันเลวในเลือดก็สูงกว่าค่าปกติมากๆ เป็นค่าไขมันที่ถ้าผมจะเป็นเส้นเลือดตีบก็ไม่น่าแปลกใจเลยครับ นอกจากนี้ยังต้องกินยากันชักและยาชะลออาการสมองเสื่อมทุกวันเช้าเย็น มีอาการปวดกระดูกซี่โครงที่ไม่รู้ว่ามะเร็งลุกลามไปกระดูกหรือเปล่า.
ก่อนหน้านี้ผมจองตั๋วไปญี่ปุ่นเอาไว้ แต่จากอาการต่างๆที่เล่าไป ทำให้ความหวังที่ผมจะได้ไปเที่ยวดูเป็นเรื่องตลกมากๆเลยครับ สองวันก่อนจะถึงวันบินไปญี่ปุ่น ผมยังแอดมิทอยู่ด้วยซ้ำ
แต่ผมก็พยายามเตรียมตัว เตรียมยา เขียนประวัติตัวเองอย่างดีที่สุด เผื่อว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นที่นู่น หมอญี่ปุ่นจะต้องน้ำตาไหลให้กับประวัติที่ผมเตรียมไว้ให้แน่ๆ (แต่ดีสุดคือไม่ต้องไปเจอเขานะ)
เหลือเชื่อมากๆครับ
ที่ผมได้ไปเดินกับพีมในสวนที่เต็มไปด้วยดอกซากุระ ได้พาพีมไปดูภูเขาไฟฟูจิ ไปสูดอากาศสะอาด ไปกินอาหารอร่อย ได้ไปสวนสนุก ได้ใส่ชุดกิโมโนคู่กัน
และผมได้กินเนื้อโกเบ
ใช่ครับ ผมยังคงกินยามหาศาล นอนได้วันละ 2-3 ชั่วโมง ยังคงท้องผูกและต้องคอยสังเกตุอาการตัวเองอย่างจริงจังตลอดเวลา
แต่ ผมก็ยังไปด้วยความหวัง ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
ทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ทุกสิ่งที่ผมยังมองเห็น ทุกมื้อที่ผมได้กิน ทุกที่ที่ผมได้ไป ทุกกิจกรรมที่ผมได้ทำมันโคตรพิเศษ ทุกคนตรงหน้าคือคนสำคัญที่สุด
ทุกวันที่ผมได้รับมา ผมตั้งใจใช้มันเหมือนมันเป็นครั้งสุดท้าย (เพราะมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายของผมจริงๆ)
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะตื่นมามองเห็นแบบนี้อยู่ไหม
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะมีโอกาสมาเที่ยวอีกไหม
ผมไม่รู้เลยว่า ผมจะเป็นคนครึ่งแรก หรือครึ่งหลัง
เมษายน 2566
เอาล่ะ
ตอนนี้คือ 6 เดือน หลังจากวันที่ผมได้รับการวินิจฉัยเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
“ถ้ามันไม่ตอบสนองต่อการรักษาล่ะ”
“ถ้าโรคมันกำเริบ หรือโรคมันไม่สงบล่ะ”
นี่เป็นความกังวลที่ผมไม่สามารถพยายามทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของมันได้เลย
ผมทำได้แค่ดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ อดทนกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต
แล้วหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
ทำได้แค่ หวัง จริงๆครับ
ที่ผ่านมาผมเจอความผิดหวังเยอะเหมือนกันครับ ใช้พลังใจเยอะมากๆในการกลับมาสู้ต่อ แต่ผมก็กอดความหวังนั้นไว้ เพราะมันดูเป็นสิ่งเดียวที่ผมมี
ผมก็ไม่รู้อะไรเกิดก่อนกันนะครับ
เพราะมีชีวิตจึงมีความหวัง
หรือเพราะมีความหวังจึงมีชีวิต
ผมบอกกับพีมในวันที่กำลังไปทำการตรวจติดตามที่ 6 เดือนว่า
“ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง เค้าจะยังไม่ตายทันทีที่รู้ผล
เย็นนี้เราจะยังไปกินข้าวอร่อยๆกันเหมือนเดิม”
ผมได้ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ทรวงอกและช่องท้อง รวมถึงตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง
และผลการติดตามที่ 6 เดือนคือ
ก้อนที่ปอดขวายุบลงไปครึ่งหนึ่งจากของเดิม
ก้อนเล็กๆที่ปอดซ้ายหายไปเกือบหมด
ก้อนในสมองทุกก้อนยังอยู่ แต่ถือว่าสงบ
ไม่มีก้อนขึ้นใหม่ที่อวัยวะอื่น ไม่มีการกระจายไปที่กระดูก ตับ ไต ปอด หรือต่อมน้ำเหลือง
มีเพียงก้อนที่เยื่อหุ้มปอดที่โตขึ้นไปกดกระดูกซี่โครงทำให้มีอาการปวด ซึ่งสามารถทำการฉายแสงเฉพาะจุดที่ก้อนได้
ผมได้เป็น “คนครึ่งหลัง” แล้วครับ
กลุ่มคนที่สถิติจากวิจัยบอกไม่ได้แล้วว่าจะอยู่ไปอีกนานเท่าไร และตัวเลขที่น่าสนใจต่อไปคือ สัดส่วนผู้ที่รอดชีวิตที่ 5 ปี อยู่ที่ประมาณ 20%
ผมหวังให้เป็นผมนะ
ถ้าจะให้สรุปบทเรียนจากน้องมะเร็งในช่วงที่อยู่ด้วยกันมาคงได้ว่า
“ชีวิตไม่แน่นอน สุดท้ายเราทุกคนจะต้องตาย อยู่กับปัจจุบัน ใช้แต่ละวันให้เหมือนวันสุดท้าย ถ้ามีอะไรที่ทำเพื่อคนอื่นได้ ก็แบ่งปันความโชคดีให้เขาบ้าง และไม่ว่าชีวิตจะเลวร้ายแค่ไหน อย่าหมดหวังกับชีวิตเด็ดขาด”
วันหยุดสงกรานต์แบบนี้ หลายๆท่านอาจจะกำลังใช้ช่วงวันหยุดให้รางวัลตัวเองด้วยการเดินทางท่องเที่ยว หลายท่านคงมีโอกาสกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวหรือคนรัก ขอให้ทุกท่านใช้เวลาตรงหน้าให้เต็มที่ครับ ให้เหมือนกับเป็นวันสุดท้าย เพราะเราไม่รู้จริงๆครับ ว่าสงกรานต์ปีหน้าจะเป็นอย่างไร เราจะยังได้เจอกันไหม
ผมขอตัว ไปทานข้าวกับที่บ้านก่อนนะครับ
สวัสดีวันสงกรานต์ครับ
ผมว่า เราเดินทางด้วยกันมานานเหมือนกันครับ
คงจะดี ถ้ามี “สู้ดิวะ รวมเล่ม”
ไว้ติดตามกันนะครับ
✺✺✺✺✺✺✺✺✺✺✺✺✺
แหละแล้ว วันนั้นก็มาถึง
เวลาของแต่ละชีวิตที่แสนสั้น🌼🌺คิดจะเที่ยว จะพักผ่อน
จะทานอะไรจะทำอะไรที่ชอบ🏵️🌻ก็รีบๆทำเสีย....
เพราะเวลาเหลือน้อยจริงๆ
🌷🌹💐🎋☘
หลายๆท่านคงได้ทราบเรื่องการจากไปของหมอกฤตไทเมื่อช่วงเช้าวันนี้แล้ว 😭😭😭😢
ตั้งแต่คุณหมอไทรู้ว่าตัวเองป่วยเมื่อช่วงปีที่แล้ว
คุณหมอมีความตั้งใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีค่ากับคนรอบข้างมากที่สุด พวกเราได้สร้างเพจ #สู้ดิวะ’ นี้ขึ้น เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวแนวคิดต่างๆที่หมอไทได้ตกตะกอนในช่วงที่ต้องต่อสู้กับโรคร้าย
🌷🌹💐🎋☘
#บทส่งท้ายจากคุณหมอ_กฤตไท”
ขอบคุณชีวิตที่แสนปกติของคุณเถอะครับ แล้วใช้มันให้เต็มที่กับทุกวันที่โลกนี้มอบให้กับคุณ
ชีวิตที่ปกติและธรรมดาในแต่ละวันของคุณมันคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว
คุณไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้คุณจะตื่นมาแล้วมีทุกอย่างแบบที่คุณมีวันนี้อยู่ไหม
วันก่อนที่ผมจะได้รับการวินิจฉัย ผมก็คิดเหมือนทุกคนแหละครับ ว่าคงไม่ใช่ผมหรอกที่ต้องมาเป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ดังนั้น อย่าทำอะไรให้ต้องมาเสียใจทีหลังเลยครับ
ใช้ช่วงเวลาที่คุณมีให้มีความสุขไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันพิเศษ เราโชคดีมากที่ยังได้มีโอกาสมาเจอช่วงเวลานี้ และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายก็ได้ อย่าเอาแต่ยกมือถือขึ้นมาถ่ายเพื่อเอาไปอวดคนอื่นว่าตัวเองกำลังมีความสุข อย่าเอาความสุขไปแขวนกับความคิดคนอื่นที่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับคุณ กลับมาดื่มด่ำกับภาพตรงหน้า กับผู้คนตรงหน้าคุณ กับมื้ออาหารที่คุณได้กิน แล้วรับความสุข ณ ขณะนั้นไปเลย
คุณเลือกได้ครับ ที่จะมองเรื่องราวทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตเป็นของขวัญ
#เพจสู้ดิวะ ติดตามที่ลิ้งค์นี้
👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇
https://www.facebook.com/.../pfbid021B6RB8dSkC49GGbV84AsQ...