ฉันป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง มาเป็นเวลา 5 ปี ก่อน ล้มป่วยด้วยโรคเลือดในสมอง(สโตรก)
ซึ่งมันน่าจะเรียกว่าเป็น ประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตมนุษย์ก็ว่าได้
ตอนที่ฉันล้มป่วยด้วยโรค สโตรก นี้ ฉัน เพิ่ง ฉลอง วันเกิดอายุ 57 ปี มาหมาด ๆ ถือว่าอายุไม่น้อย ไม่มากที่จะป่วยเป็นโรคนี้ ถามฉันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าให้ตอบด้วยสัญชาตญาณครั้งแรก ที่มนุษย์จะคิดหาสาเหตุ ว่ามันเพราะอะไร ฉันก็จะยืดอกตอบอย่างสง่างามว่า เพราะฉัน "ดื่มจัด!" คิดดูก็แล้วกัน เป็นโรคความดันโลหิตสูงแต่ดื่มจัด โรคนี้เป็นกรรมพันธ์ คุณพ่อฉันเสียชีวิตเพราะโรคนี้ ตอนที่ท่านมีอายุแค่ 41 ปี (ถือว่าอายุน้อยมาก) ส่วนฉัน พอตรวจเจอโรคความดัน ฉันก็ เป็นคนไข้ประจำของหมอที่โรงพยาบาล กรุงเทพพัทยา ฉันต้องทานยาวันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า แต่เนื่องจากฉันทานอาหารไม่เป็นเวลา ตื่นไม่เป็นเวลา ฉันก็เลยปรึกษาหมอเรื่องนี้ หมอบอก แค่จะทานยาวันละเม็ดฉันก็มีปัญหา ยังไงก็ตามหมอก็ให้ความรู้ฉันว่า ฉันสามารถทานยา 1 เม็ดเล็ก ๆ นี้เวลาไหนก็ได้ แต่ต้อง ทานเวลาเดิมทุกวัน เรียกว่าทุก 24 ชม. ฉันก็เลือกทานตอนก่อนนอน (เพราะยามีส่วนผสมยานอนหลับ ) ฉันก็มีความสุขดีกับ ยาคุมความดันโลหิตนี้ ฉันทานยามาสม่ำเสมอ ไม่มีสัญญาณว่าจะมีโรคอื่นแทรกซ้อน
ฉันผู้ภูมิใจว่าตนเอง(ดู) เป็นคนสุขภาพดี ไม่แก่ ไม่ป่วยแต่ฉันก็ตระหนักอยู่เสมอว่า โรคความดันคือ "ฆาตกรเงียบ" มันไม่เตือนอะไรทั้งนั้น ฉันก็รู้ว่า ทุกคนที่เป็นโรคนี้ก็รู้ดีกันทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เจ้าฆาตกรมาเยือนเราก่อนกำหนด
ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่เลินเล่อกับชีวิตมากที่สุดคือฉันเอง
ฉันมีไลฟ์สไตล์ที่ท้าทายความตายมากก.....
ฉันนอนตื่นสาย (ประมาณ 8-9 โมง ) ไม่ออกกำลังกาย อาบน้ำ ทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารตามสั่งข้างบ้าน แล้วเข้าออฟฟิศ ทำงาน ๆๆๆ ที่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะฉันทำธุรกิจหลายอย่างมาก ฉันทำหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ทำศูนย์สอนภาษาอังกฤษ และสอนภาษาไทยให้คนต่างชาติ ทำร้านสปา ร้านอาหาร มันทำให้ฉันต้องดีลกับลูกน้องถึง 30-40 คน ฉันไม่มีครอบครัว ไม่มีหุ้นส่วน ฉันแบกรับปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง
พฤติกรรมที่แย่ ๆ คือฉันดื่มแอลกอฮอล์ ทุกวัน
เพราะฉันมีร้านเหล้าอยู่หน้าออฟฟิศ เมื่อเลิกงานฉันก็ถูกกระชากตัวให้นั่งอยู่ที่หน้าร้านตัวเองต่อจนมืด จนค่ำ จนดึก ฉันและเพื่อน ๆ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เคาะระฆังเลี้ยงดื่มกัน จนตี 1-ตี 2 แทบทุกคืน กว่าฉันจะกลับบ้านเข้านอนก็ปาเข้าไป ตี 3 เป็นปรกติ นี่คือสาเหตุว่าทำไมฉันตื่น อีกที ตอน 8-9 โมง วงจรชีวิตฉันเป็นแบบนี้มา 15 ปี ฉันก็เป็นหนูถีบจักรเหมือนคนในครึ่งประเทศนี้ ยิ่งเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งมีความเครียด แล้วคุณคิดว่าร่างกายฉันมันจะทนไหวเหรอ
แต่บทความนี้ฉันไม่ได้มาถกเรื่อง การเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ฉันกำลังจะเล่าเรื่องว่า สาเหตุที่ฉันล้มป่วยเพราะมันเป็นแบบนี้ ฉันอยากแบ่งปัน ประสบการณ์ว่า เมื่อคุณตกที่นั่งลำบาก และคุณรู้ว่าเพราะอะไร คุณยอมรับสภาพตัวเอง มันก็เจ็บปวดพอแล้ว คุณไม่ต้องการให้มีใครมาตอกย้ำว่าทำไมคุณจึงจบลงในสภาพที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "เป็นผัก" แบบนี้!!
10 วันก่อนฉันป่วย ฉันหยุดทานยา(เจ้าเม็ดเล็ก ๆที่ว่า)เพราะ ยาหมดและฉันก็ผลัดวันประกันพรุ่งว่า จะไปหาหมอ แต่ก็ไม่เคยทำ เรียกว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เตือนท่านที่ทานยานี้ประจำ ท่านต้องอย่าหยุดยาเองโดยเด็ดขาด คืนนั้นที่ฉันป่วย มันเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 (27th Dec. 2010)เวลา สี่ทุ่ม ขณะที่ฉัน นั่งดื่มๆไวน์ กับเพื่อนสาวและรอลูกสาวของเธอที่กำลังทำงานง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศของฉัน ฉันรู้สึกมึนมาก ๆ (เป็นปรกติ) เมื่อฉันทำแว่นตาตกลงบนพื้น ฉันก็พยายามก้มลงเก็บแว่นตา
วินาทีนั้นฉันช็อค เพราะฉันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คือฉันก้มลง ตั้งใจหยิบแว่นตา แต่มือฉันเอื้อมไปถึงแว่นแต่ไม่สามารถจับมันได้ คือนิ้วฉันไม่ทำงาน ฉันคิดแต่ว่านิ้วฉันไม่ทำงาน แต่ไม่เคยคิดว่าสมองฉันไม่สั่งงาน (ฉันคิดว่าไม่มีใครที่ไม่เคยป่วยหรือมีอาการชามือชาเท้ามาก่อน จะคิดได้ว่าเกิดจากสมอง) เพื่อนฉันเห็นความพยายามหยิบแว่นตาของฉัน เธอ ตกใจมากและบอกฉันว่า "พี่เป็นสโตรกต้องไปหาหมอเร็วที่สุด " ฉันยังพยายามปฏิเสธเพราะ ฉันคิดว่าตนเองเมาจนไม่ไหว ถ้านอนพัก 1 คืน ฉันคงจะอาการดีขึ้น
แต่เพื่อนไม่ฟังเสียง ในที่สุดฉันก็ถูกหามเข้าโรงพยาบาลในคืนนั้น ฉันถึงมือหมอเวลา ห้าทุ่มครึ่ง เรียกว่านาทีทอง( ภายใน 2-3 ชม.)
ตอนที่ฉันล้มป่วยด้วยโรค สโตรก นี้ ฉัน เพิ่ง ฉลอง วันเกิดอายุ 57 ปี มาหมาด ๆ ถือว่าอายุไม่น้อย ไม่มากที่จะป่วยเป็นโรคนี้ ถามฉันว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าให้ตอบด้วยสัญชาตญาณครั้งแรก ที่มนุษย์จะคิดหาสาเหตุ ว่ามันเพราะอะไร ฉันก็จะยืดอกตอบอย่างสง่างามว่า เพราะฉัน "ดื่มจัด!" คิดดูก็แล้วกัน เป็นโรคความดันโลหิตสูงแต่ดื่มจัด โรคนี้เป็นกรรมพันธ์ คุณพ่อฉันเสียชีวิตเพราะโรคนี้ ตอนที่ท่านมีอายุแค่ 41 ปี (ถือว่าอายุน้อยมาก) ส่วนฉัน พอตรวจเจอโรคความดัน ฉันก็ เป็นคนไข้ประจำของหมอที่โรงพยาบาล กรุงเทพพัทยา ฉันต้องทานยาวันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า แต่เนื่องจากฉันทานอาหารไม่เป็นเวลา ตื่นไม่เป็นเวลา ฉันก็เลยปรึกษาหมอเรื่องนี้ หมอบอก แค่จะทานยาวันละเม็ดฉันก็มีปัญหา ยังไงก็ตามหมอก็ให้ความรู้ฉันว่า ฉันสามารถทานยา 1 เม็ดเล็ก ๆ นี้เวลาไหนก็ได้ แต่ต้อง ทานเวลาเดิมทุกวัน เรียกว่าทุก 24 ชม. ฉันก็เลือกทานตอนก่อนนอน (เพราะยามีส่วนผสมยานอนหลับ ) ฉันก็มีความสุขดีกับ ยาคุมความดันโลหิตนี้ ฉันทานยามาสม่ำเสมอ ไม่มีสัญญาณว่าจะมีโรคอื่นแทรกซ้อน
ฉันผู้ภูมิใจว่าตนเอง(ดู) เป็นคนสุขภาพดี ไม่แก่ ไม่ป่วยแต่ฉันก็ตระหนักอยู่เสมอว่า โรคความดันคือ "ฆาตกรเงียบ" มันไม่เตือนอะไรทั้งนั้น ฉันก็รู้ว่า ทุกคนที่เป็นโรคนี้ก็รู้ดีกันทั้งนั้น แต่ก็ยังไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงที่จะทำให้เจ้าฆาตกรมาเยือนเราก่อนกำหนด
ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่เลินเล่อกับชีวิตมากที่สุดคือฉันเอง
ฉันมีไลฟ์สไตล์ที่ท้าทายความตายมากก.....
ฉันนอนตื่นสาย (ประมาณ 8-9 โมง ) ไม่ออกกำลังกาย อาบน้ำ ทานอาหารเช้าที่ร้านอาหารตามสั่งข้างบ้าน แล้วเข้าออฟฟิศ ทำงาน ๆๆๆ ที่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะฉันทำธุรกิจหลายอย่างมาก ฉันทำหนังสือพิมพ์ออนไลน์ ทำศูนย์สอนภาษาอังกฤษ และสอนภาษาไทยให้คนต่างชาติ ทำร้านสปา ร้านอาหาร มันทำให้ฉันต้องดีลกับลูกน้องถึง 30-40 คน ฉันไม่มีครอบครัว ไม่มีหุ้นส่วน ฉันแบกรับปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง
พฤติกรรมที่แย่ ๆ คือฉันดื่มแอลกอฮอล์ ทุกวัน
เพราะฉันมีร้านเหล้าอยู่หน้าออฟฟิศ เมื่อเลิกงานฉันก็ถูกกระชากตัวให้นั่งอยู่ที่หน้าร้านตัวเองต่อจนมืด จนค่ำ จนดึก ฉันและเพื่อน ๆ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เคาะระฆังเลี้ยงดื่มกัน จนตี 1-ตี 2 แทบทุกคืน กว่าฉันจะกลับบ้านเข้านอนก็ปาเข้าไป ตี 3 เป็นปรกติ นี่คือสาเหตุว่าทำไมฉันตื่น อีกที ตอน 8-9 โมง วงจรชีวิตฉันเป็นแบบนี้มา 15 ปี ฉันก็เป็นหนูถีบจักรเหมือนคนในครึ่งประเทศนี้ ยิ่งเศรษฐกิจตกต่ำ ยิ่งมีความเครียด แล้วคุณคิดว่าร่างกายฉันมันจะทนไหวเหรอ
แต่บทความนี้ฉันไม่ได้มาถกเรื่อง การเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ฉันกำลังจะเล่าเรื่องว่า สาเหตุที่ฉันล้มป่วยเพราะมันเป็นแบบนี้ ฉันอยากแบ่งปัน ประสบการณ์ว่า เมื่อคุณตกที่นั่งลำบาก และคุณรู้ว่าเพราะอะไร คุณยอมรับสภาพตัวเอง มันก็เจ็บปวดพอแล้ว คุณไม่ต้องการให้มีใครมาตอกย้ำว่าทำไมคุณจึงจบลงในสภาพที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า "เป็นผัก" แบบนี้!!
10 วันก่อนฉันป่วย ฉันหยุดทานยา(เจ้าเม็ดเล็ก ๆที่ว่า)เพราะ ยาหมดและฉันก็ผลัดวันประกันพรุ่งว่า จะไปหาหมอ แต่ก็ไม่เคยทำ เรียกว่าเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง เตือนท่านที่ทานยานี้ประจำ ท่านต้องอย่าหยุดยาเองโดยเด็ดขาด คืนนั้นที่ฉันป่วย มันเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 (27th Dec. 2010)เวลา สี่ทุ่ม ขณะที่ฉัน นั่งดื่มๆไวน์ กับเพื่อนสาวและรอลูกสาวของเธอที่กำลังทำงานง่วนอยู่กับคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศของฉัน ฉันรู้สึกมึนมาก ๆ (เป็นปรกติ) เมื่อฉันทำแว่นตาตกลงบนพื้น ฉันก็พยายามก้มลงเก็บแว่นตา
วินาทีนั้นฉันช็อค เพราะฉันไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น คือฉันก้มลง ตั้งใจหยิบแว่นตา แต่มือฉันเอื้อมไปถึงแว่นแต่ไม่สามารถจับมันได้ คือนิ้วฉันไม่ทำงาน ฉันคิดแต่ว่านิ้วฉันไม่ทำงาน แต่ไม่เคยคิดว่าสมองฉันไม่สั่งงาน (ฉันคิดว่าไม่มีใครที่ไม่เคยป่วยหรือมีอาการชามือชาเท้ามาก่อน จะคิดได้ว่าเกิดจากสมอง) เพื่อนฉันเห็นความพยายามหยิบแว่นตาของฉัน เธอ ตกใจมากและบอกฉันว่า "พี่เป็นสโตรกต้องไปหาหมอเร็วที่สุด " ฉันยังพยายามปฏิเสธเพราะ ฉันคิดว่าตนเองเมาจนไม่ไหว ถ้านอนพัก 1 คืน ฉันคงจะอาการดีขึ้น
แต่เพื่อนไม่ฟังเสียง ในที่สุดฉันก็ถูกหามเข้าโรงพยาบาลในคืนนั้น ฉันถึงมือหมอเวลา ห้าทุ่มครึ่ง เรียกว่านาทีทอง( ภายใน 2-3 ชม.)
ฉันจำได้ว่ายังสามารถตอบคำถามพยาบาลและเจ้าหน้าที่ได้อยู่บ้างถึงอาการก่อนจะเป็น จากนั้นฉันก็จำอะไรไม่ได้เลย
มีลูกชายของเพื่อนที่พาฉันส่งโรงพยาบาลและพนักงานในออฟฟิศ 2-3 คนที่คอยพูดกับฉัน แต่ฉันก็จำอะไรไม่ได้ ทราบแต่ว่าหลังจากเอ็กซเรย์สมอง หมอจะผ่าตัดสมอง เพราะเส้นเลือดในสมองฉันแตก ทำให้ร่างกายด้านขวาของฉันขยับไม่ได้ ในที่สุดจิ๊บน้องชายของฉันถูกแจ้งให้ทราบ จิ๊บและพี่สาวจึงเดินทางมาที่โรงพยาบาล สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ที่สัตหีบ ที่ ๆ ฉันถูกนำมารักษาตัว
ในที่สุดหมอก็ไม่ผ่าตัดตามความต้องการของพี่สาวและน้องชายที่ทราบว่าถ้าผ่าตัดโอกาสที่ฉันจะฟื้นมีเพียง 50%(ไม่ใช้เฉพาะเคสฉัน แต่หมายถึง โดยทั่วไปสำหรับคนป่วยโรคนี้)
สามวันต่อมาฉันฟื้นขึ้นเบลอมาก จำอะไรไม่ได้ 100% หมอถามคำถามต่าง ๆ นานา ฉันทั้งวีนทั้งเหวี่ยงเอากับหมอและพยาบาล จนญาติพี่น้องอับอาย และระอา ฉันก็ไม่ทราบว่าทำไมทุกคนไม่เข้าใจคนป่วยเลย ฉันไม่ทราบหรอกว่าฉันแผลงฤทธิ์อะไรบ้าง มีแต่คนเฝ้าที่เล่าให้ฟัง ถ้าถามฉันว่าจำอะไรได้บ้าง ฉันยืนยันได้ว่ามีคนบางจำพวก......มาเยี่ยมฉัน แต่พวกเขายืนอยู่ไกลมาก เหมือนกับ หาเตียงฉันไม่เจอ (หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นอาการข้างเคียงของคนป่วย แต่ฉันยืนยันได้ว่าฉัน รู้ตัวดี ว่ามันเหมือนจริงมาก
ฉันรู้สึกว่าที่เตียงฉันมีคนนอนอยู่ข้างล่าง ฉันนอนทับแขนเค้าอยู่ ฉันพยายามบอกทุกคนแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ!
ในที่สุด พี่น้องฉันก็ตัดสินใจ ย้ายฉัน ไปรักษาตัวต่อที่น่าน โดยความช่วยเหลือของ ท่านสาธารณสุขจังหวัดซึ่งเป็น เจ้านายของน้องชาย ทำให้การขนย้ายฉัน สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ฉันได้เข้ารักษาตัวโดยได้ห้องคนไข้พิเศษ จากนั้น ญาติพี่น้องก็เดินทางมาเยี่ยมกัน ทุกวัน (ฉันเกิดในครอบครัวหญ่ายย มาก ลุงป้าน้าอา ลูกหลานรวม ๆ แล้วก็ประมาณ 200 กว่าคนมั๊ง เด็กรุ่นหลานเหลน คงไม่รู้จักหรอก แต่นี่คือวัฒนธรรมของคนเมืองเหนือ ซึ่งฉันไม่คุ้น เพราะใช้ชีวิตอยู่เมืองหลวงมั่ง เมืองนอกมั่ง ตั้งแต่อายุ 22 จน 57 มันจึงเพิ่มประสบการณ์ในการปรับตัวของฉันมากขึ้นไปอีก
มีลูกชายของเพื่อนที่พาฉันส่งโรงพยาบาลและพนักงานในออฟฟิศ 2-3 คนที่คอยพูดกับฉัน แต่ฉันก็จำอะไรไม่ได้ ทราบแต่ว่าหลังจากเอ็กซเรย์สมอง หมอจะผ่าตัดสมอง เพราะเส้นเลือดในสมองฉันแตก ทำให้ร่างกายด้านขวาของฉันขยับไม่ได้ ในที่สุดจิ๊บน้องชายของฉันถูกแจ้งให้ทราบ จิ๊บและพี่สาวจึงเดินทางมาที่โรงพยาบาล สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ที่สัตหีบ ที่ ๆ ฉันถูกนำมารักษาตัว
ในที่สุดหมอก็ไม่ผ่าตัดตามความต้องการของพี่สาวและน้องชายที่ทราบว่าถ้าผ่าตัดโอกาสที่ฉันจะฟื้นมีเพียง 50%(ไม่ใช้เฉพาะเคสฉัน แต่หมายถึง โดยทั่วไปสำหรับคนป่วยโรคนี้)
สามวันต่อมาฉันฟื้นขึ้นเบลอมาก จำอะไรไม่ได้ 100% หมอถามคำถามต่าง ๆ นานา ฉันทั้งวีนทั้งเหวี่ยงเอากับหมอและพยาบาล จนญาติพี่น้องอับอาย และระอา ฉันก็ไม่ทราบว่าทำไมทุกคนไม่เข้าใจคนป่วยเลย ฉันไม่ทราบหรอกว่าฉันแผลงฤทธิ์อะไรบ้าง มีแต่คนเฝ้าที่เล่าให้ฟัง ถ้าถามฉันว่าจำอะไรได้บ้าง ฉันยืนยันได้ว่ามีคนบางจำพวก......มาเยี่ยมฉัน แต่พวกเขายืนอยู่ไกลมาก เหมือนกับ หาเตียงฉันไม่เจอ (หลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นอาการข้างเคียงของคนป่วย แต่ฉันยืนยันได้ว่าฉัน รู้ตัวดี ว่ามันเหมือนจริงมาก
ฉันรู้สึกว่าที่เตียงฉันมีคนนอนอยู่ข้างล่าง ฉันนอนทับแขนเค้าอยู่ ฉันพยายามบอกทุกคนแต่ก็ไม่มีใครใส่ใจ!
ในที่สุด พี่น้องฉันก็ตัดสินใจ ย้ายฉัน ไปรักษาตัวต่อที่น่าน โดยความช่วยเหลือของ ท่านสาธารณสุขจังหวัดซึ่งเป็น เจ้านายของน้องชาย ทำให้การขนย้ายฉัน สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ฉันได้เข้ารักษาตัวโดยได้ห้องคนไข้พิเศษ จากนั้น ญาติพี่น้องก็เดินทางมาเยี่ยมกัน ทุกวัน (ฉันเกิดในครอบครัวหญ่ายย มาก ลุงป้าน้าอา ลูกหลานรวม ๆ แล้วก็ประมาณ 200 กว่าคนมั๊ง เด็กรุ่นหลานเหลน คงไม่รู้จักหรอก แต่นี่คือวัฒนธรรมของคนเมืองเหนือ ซึ่งฉันไม่คุ้น เพราะใช้ชีวิตอยู่เมืองหลวงมั่ง เมืองนอกมั่ง ตั้งแต่อายุ 22 จน 57 มันจึงเพิ่มประสบการณ์ในการปรับตัวของฉันมากขึ้นไปอีก
การที่เราฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองไม่สามารถขยับร่างกายด้านขวาได้อีกต่อไป ไม่สามารถพูดชัดถ้อย ชัดคำได้เหมือนเดิม กว่าจะคิดประโยคยาว ๆ ได้ต้องพยายามอย่างมาก ฉันก็คิดทันทีว่า "มันจบสิ้นแล้ว ชีวิตฉันจบสิ้นแล้ว...........ความรู้สึกนี้มันเรียกว่าภาวะช็อค เสียสติ รับไม่ได้ จริง ๆ เป็นความรู้สึกที่น่ากลัวมาก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณเป็นครู เป็นล่าม เป็นคนที่ต้องใช้การพูดเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ ฉันทำงานมา มากกว่า 15 ปี ตอนนี้ ฉันฟื้นมาเพื่อที่จะเผชิญความจริงว่าฉันพูดไม่ได้ (ไม่ชัด) ไม่เป็นภาษาอีกต่อไป มันเป็นภาวะที่หนาวเหน็บจริง ๆ !
แว่บหนึ่ง ถึงหลาย ๆแว่บที่ฉันอยากจะจบชีวิต ฉันจำได้ว่าที่โรงพยาบาลสมเด็จ ราชินีสิริกิตต์ ฉันฟื้นขึ้นมาและวางแผนว่าจะหนีออกจากโรงพยาบาลตอนดึก เดินออกไปกลางถนนหน้าโรงพยาบาลให้รถชนตาย กะให้ตายหน้าโรงพยาบาลเลย เพราะ ฉันอยากทำลายเครดิตโรงพยาบาลด้วยว่าดูแลคนไข้ยังไงให้หนีออกมาโดนรถชน เพราะฉันไม่แฮ็ปปี้กับหมอและพยาบาลที่นั่นเลย ถามว่าเพราะอะไร ฉันก็ไม่สามารถบรรยายในตอนนี้ได้เพราะมันนานมาเกือบ 3 ปีแล้ว อารมณ์ขณะนั้นคือฉัน เกลียดทุกอย่าง ฉันเหวี่ยง วีนมันทุกเรื่อง นี่ก็คืออีกสาเหตุหนึ่งที่พี่น้องฉันรีบจัดการย้ายฉันมาที่โรงบาลที่บ้านเกิด
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันสิ้นฤทธิ์ หรือสงบเสงี่ยม เพราะฉันก็แผลงฤทธิ์ ไม่หยุดเพราะฉันจำได้ว่าน้องสะใภ้ฉันที่เป็นพยาบาลอยู่ที่นั่นและเธอคงเต็มกลืนกับฉันเต็มที เธอเอ่ยปากบอกฉันว่า " ขอร้องนะพี่อย่าว่าอะไรพวกพยาบาล หมอหรือเจ้าหน้าที่เลย มันทำให้พวกหนูทำงานลำบาก" เออ... เข้าใจแระะะ! ฉันจึง"หุบปาก" นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา......
ขอแบ่งปันไว้ตรงนี้นะคะว่าคนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ไม่มีสามี ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร มันต่างกันมากกับคนที่มี ลูก 5 หลาน 10 น่ะ ฉะนั้น คนคงจินตนาการไม่ได้มั๊งว่า ฉันจะอยากอยู่ไปทำไม ลองไปถามขอทานหรือคนพิการที่คลานไปกับพื้น เก็บขยะกินน่ะ ทำไมเค้ายังอยากมีชีวิตอยู่ " ไม่มีมนุษย์คนไหนหรือสิ่งมีชีวิตไหนอยากตาย...แม้กระทั่งพระพุทธเจ้ายังบอกว่าคนที่คิดฆ่าตัวตายยังบาปเลย ฉะนั้นอย่าไปคิดแทนว่าคนป่วย จะคิดถึงแต่ความตาย คุณก็เห็นคนดี ๆ ตายก่อนคนป่วยเยอะแยะมิใช่เหรอ?
เชื่อหรือไม่ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ถ้าเราได้ "กำหนด" ความต้องการของตนเองให้ชัดเจน ภาษาอังกฤษเรียกว่า "determination. " คำๆนี้น่าจะแปลให้สละสลวยได้ว่า"ปณิธาน" คือ เมื่อคุณมุ่งมั่นอย่างชัดเจน คุณก็ บรรลุความฝันคุณเสมอ
แว่บหนึ่ง ถึงหลาย ๆแว่บที่ฉันอยากจะจบชีวิต ฉันจำได้ว่าที่โรงพยาบาลสมเด็จ ราชินีสิริกิตต์ ฉันฟื้นขึ้นมาและวางแผนว่าจะหนีออกจากโรงพยาบาลตอนดึก เดินออกไปกลางถนนหน้าโรงพยาบาลให้รถชนตาย กะให้ตายหน้าโรงพยาบาลเลย เพราะ ฉันอยากทำลายเครดิตโรงพยาบาลด้วยว่าดูแลคนไข้ยังไงให้หนีออกมาโดนรถชน เพราะฉันไม่แฮ็ปปี้กับหมอและพยาบาลที่นั่นเลย ถามว่าเพราะอะไร ฉันก็ไม่สามารถบรรยายในตอนนี้ได้เพราะมันนานมาเกือบ 3 ปีแล้ว อารมณ์ขณะนั้นคือฉัน เกลียดทุกอย่าง ฉันเหวี่ยง วีนมันทุกเรื่อง นี่ก็คืออีกสาเหตุหนึ่งที่พี่น้องฉันรีบจัดการย้ายฉันมาที่โรงบาลที่บ้านเกิด
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าฉันสิ้นฤทธิ์ หรือสงบเสงี่ยม เพราะฉันก็แผลงฤทธิ์ ไม่หยุดเพราะฉันจำได้ว่าน้องสะใภ้ฉันที่เป็นพยาบาลอยู่ที่นั่นและเธอคงเต็มกลืนกับฉันเต็มที เธอเอ่ยปากบอกฉันว่า " ขอร้องนะพี่อย่าว่าอะไรพวกพยาบาล หมอหรือเจ้าหน้าที่เลย มันทำให้พวกหนูทำงานลำบาก" เออ... เข้าใจแระะะ! ฉันจึง"หุบปาก" นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา......
ขอแบ่งปันไว้ตรงนี้นะคะว่าคนที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ไม่มีสามี ไม่รู้จะอยู่เพื่อใคร มันต่างกันมากกับคนที่มี ลูก 5 หลาน 10 น่ะ ฉะนั้น คนคงจินตนาการไม่ได้มั๊งว่า ฉันจะอยากอยู่ไปทำไม ลองไปถามขอทานหรือคนพิการที่คลานไปกับพื้น เก็บขยะกินน่ะ ทำไมเค้ายังอยากมีชีวิตอยู่ " ไม่มีมนุษย์คนไหนหรือสิ่งมีชีวิตไหนอยากตาย...แม้กระทั่งพระพุทธเจ้ายังบอกว่าคนที่คิดฆ่าตัวตายยังบาปเลย ฉะนั้นอย่าไปคิดแทนว่าคนป่วย จะคิดถึงแต่ความตาย คุณก็เห็นคนดี ๆ ตายก่อนคนป่วยเยอะแยะมิใช่เหรอ?
เชื่อหรือไม่ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด ถ้าเราได้ "กำหนด" ความต้องการของตนเองให้ชัดเจน ภาษาอังกฤษเรียกว่า "determination. " คำๆนี้น่าจะแปลให้สละสลวยได้ว่า"ปณิธาน" คือ เมื่อคุณมุ่งมั่นอย่างชัดเจน คุณก็ บรรลุความฝันคุณเสมอ
เมื่อฉันกำหนดเป้าหมายแล้วว่าฉันต้องเดินให้ได้ ฉันก็เริ่มฝึกใช้ไม้เท้า ฝึกเคลื่อนย้ายร่างกายด้วยขาข้างซ้ายข้างเดียว(จะลองทำดูก็ได้นะคะ) ค่อย ๆ พาตนเองจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งได้ วันละเล็กละน้อยโดย เริ่มฝึกกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลวันละ 1 ชั่วโมง ทุกวัน เป็นเวลา 4 อาทิตย์ ไม่ก้าวหน้ามากมาย แต่เน้นเรื่องการทำอย่างถูกวิธีมากกว่า
ฉันคิดถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมาก ๆ เลย ฉันไม่ถูกอนุญาตให้ใช้คอมพิวเตอร์ อาหารก็ทานไม่ค่อยได้ ตลอดเวลา 1 เดือนในโรงพยาบาล จนกระทั่งได้ย้ายออกมาพักฟื้นที่บ้านพี่สาว ฉันนน. ลดลง เหลือเพียง 37 กก.(จากปรกติ 42 กก.)
ที่บ้าน พี่สาวซื้ออุปกรณ์ ในการบริหารนิ้วมือให้ฝึก เช่นที่หนีบผ้า ลูกบอลยาง มันยากมาก ๆ ที่จะ จับแล้วบีบให้มันอ้าออกพอที่จะคีบกระดาษแผ่นบาง ๆ ให้ได้ ฉันใช้เวลา วันละ 1-2 ชม. ในการฝึกนิ้วมือ
การเดินเป็นเรื่องที่คนป่วยทุกคนจะถูก(บังคับ)ให้ฝึกก่อนเรื่องอื่น ๆ เริ่มจากการยกขาถีบ อากาศแบบง่าย ๆ หรือ ยันกับมือของ ผู้ที่ดูแลเรา ฝึกบนเตียงนอนทุกวัน ฝึกนอนหงาย งอเข่าขึ้นแล้วยกก้น ขึ้นลงมั่ง กางเข่าออกมั่ง พอเริ่ม ขยับขาได้ ก็เริ่มฝึกเดินโดยใช้ไม้เท้า แค่การพยายามคิดว่า ต้องยกไม้เท้าที่จับด้วยมือข้างซ้าย ยกไปวางด้านหน้า ไกล เท่ากับ 1 ก้าวของ การเดินปรกติ จากนั้นก็ใช้เท้าขวาที่ไม่ทมีแรง แตะลงกับพื้นพร้อมกับ โหนตัวเราไปพร้อม ๆ กัน (อธิบายลำบากจัง) เอาเป็นว่าฉันเริ่มฝึกเดิน ทุกวัน ๆๆๆ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ที่บ้านพี่สาว ฉันก็สามารถ เดินไปห้องน้ำด้วยไม่้เท้าเองได้ ฉันถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า(ตี 5-หกโมง) พร้อมๆกับพี่สาว เพราะเธอตื่นเช้ามาก ฉันนอนกับ พี่สาวและหลานสาวอายุ 9 ขวบ เธอเรียกฉันว่า "ย่าเมย์" เรียกตามย่า (พี่สาว)
เธอชื่อ "ตังตัง" น่ารักและฉลาดมาก เธอช่วยดูแลฉัน เป็นอย่างดี เรานอนดูละครด้วยกันทุกคืน เป็นครั้งแรกที่ฉันเรียนรู้ที่จะหาความบันเทิง ที่ชาวบ้าน ๆ เค้าทำกัน
ฉันไม่ได้ คิดดูถูกอะไรเลยนะคะ ที่พูดแบบนี้ เพียงแต่จะเล่าให้ฟังว่า การที่เราเลือกที่จะใช้ชีวิต ไม่เหมือนกัน ของคนเรามันก็มีผลกับจิตใจในยามเจ็บป่วย พอสมควร
คนที่เคย ดูแต่หนังฝรั่ง ดู ข่าว BBC อะไรพวกนี้ จะไม่มีทาง เตรียมใจได้ เมื่อต้องมาเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอย่างกระทันหัน แค่ในยามปรกติก็ลำบากแล้ว ยิ่งมาเจ็บป่วย ก็ยิ่งลำบาก ฉันเครียดจัดแต่ไม่เคย แสดงออกให้ใครทราบ พี่สาวและครอบครัวเค้าก็ดูแลฉันดีมาก แต่ คงไม่เข้าใจ แบบลึก ๆ ว่าคนป่วยโรคสมอง ไม่เหมือน คนที่ป่วยจาก เชื้อไวรัสต่าง ๆ
ฉัน พยายามดิ้นรน หาทางใช้อินเทอร์เน็ต โดยการซื้อแอร์การ์ด และโชคดีที่มีโน๊ตบุ๊ค ตัวเก่งมาด้วย ฉันยังมีงานเก่า ๆ และ รูปเพื่อน ๆ ที่ทำให้ฉัน เริ่มจดจำอะไรต่าง ๆ ได้
ฉัน เพิ่งสมัครใช้เฟสบุ๊ค ไม่นานก่อนป่วย จึงมีเพื่อน ไม่ถึง 100 คน เชื่อไหมฉัน จำเพื่อนได้ ไม่ถึง 10 คน ฉัน พยายามเข้าไปอ่านดูไฟล์เดิม ๆ แค่การพยายามพิมพ์ ด้วยนิ้วชี้ซ้ายนิ้วเดียวมันก็ยากแล้ว แต่ฉัน ก็สามารถนั่งทั้งวัน พิมพ์นั่นพิมพ์นี่ แปลบทความต่าง ๆ ถ้าโชคดีเน็ต ใช้ได้ดี ฉันก็ได้อ่านข่าวต่าง ๆ ฉัน เป็น คนรักประชาธิปไตย เกลียดความไม่ยุติธรรม ฉะนั้น ฉันจึงเป็น แฟนคลับของคนเสื้อแดง ฉัน ถูกดุ เรื่อง การ ไม่ออกกำลังกาย เอาแต่ นั่งพิมพ์ ๆ อะไรก็ไม่รู้ (ฉัน พยายามพิมพ์ หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค เรื่อง " คนพัทยา" ที่ฉันรู้จัก หนา 200 กว่าหน้า ใช้เวลา 4 เดือน เต็ม ๆ ในการพิมพ์และ เรียบเรียง ติดต่อโรงพิมพ์และ เข็นมันออกมาได้ 1 เล่ม ฝากขายตามร้านหนังสือออนไลน์และฝากร้านหนังสือ ดีเค บุ๊คสโตร์ พอมีรายได้ บ้าง ไม่ใช่หนังสือที่ดีมากมาย เพราะข้อจำกัดเรื่อง ร่างกาย บางที การนั่งนาน ๆ ก็ทำให้ฉันปวดเมื่อย จนลุกไม่ขึ้น
ฉันคิดถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตมาก ๆ เลย ฉันไม่ถูกอนุญาตให้ใช้คอมพิวเตอร์ อาหารก็ทานไม่ค่อยได้ ตลอดเวลา 1 เดือนในโรงพยาบาล จนกระทั่งได้ย้ายออกมาพักฟื้นที่บ้านพี่สาว ฉันนน. ลดลง เหลือเพียง 37 กก.(จากปรกติ 42 กก.)
ที่บ้าน พี่สาวซื้ออุปกรณ์ ในการบริหารนิ้วมือให้ฝึก เช่นที่หนีบผ้า ลูกบอลยาง มันยากมาก ๆ ที่จะ จับแล้วบีบให้มันอ้าออกพอที่จะคีบกระดาษแผ่นบาง ๆ ให้ได้ ฉันใช้เวลา วันละ 1-2 ชม. ในการฝึกนิ้วมือ
การเดินเป็นเรื่องที่คนป่วยทุกคนจะถูก(บังคับ)ให้ฝึกก่อนเรื่องอื่น ๆ เริ่มจากการยกขาถีบ อากาศแบบง่าย ๆ หรือ ยันกับมือของ ผู้ที่ดูแลเรา ฝึกบนเตียงนอนทุกวัน ฝึกนอนหงาย งอเข่าขึ้นแล้วยกก้น ขึ้นลงมั่ง กางเข่าออกมั่ง พอเริ่ม ขยับขาได้ ก็เริ่มฝึกเดินโดยใช้ไม้เท้า แค่การพยายามคิดว่า ต้องยกไม้เท้าที่จับด้วยมือข้างซ้าย ยกไปวางด้านหน้า ไกล เท่ากับ 1 ก้าวของ การเดินปรกติ จากนั้นก็ใช้เท้าขวาที่ไม่ทมีแรง แตะลงกับพื้นพร้อมกับ โหนตัวเราไปพร้อม ๆ กัน (อธิบายลำบากจัง) เอาเป็นว่าฉันเริ่มฝึกเดิน ทุกวัน ๆๆๆ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ที่บ้านพี่สาว ฉันก็สามารถ เดินไปห้องน้ำด้วยไม่้เท้าเองได้ ฉันถูกปลุกให้ตื่นแต่เช้า(ตี 5-หกโมง) พร้อมๆกับพี่สาว เพราะเธอตื่นเช้ามาก ฉันนอนกับ พี่สาวและหลานสาวอายุ 9 ขวบ เธอเรียกฉันว่า "ย่าเมย์" เรียกตามย่า (พี่สาว)
เธอชื่อ "ตังตัง" น่ารักและฉลาดมาก เธอช่วยดูแลฉัน เป็นอย่างดี เรานอนดูละครด้วยกันทุกคืน เป็นครั้งแรกที่ฉันเรียนรู้ที่จะหาความบันเทิง ที่ชาวบ้าน ๆ เค้าทำกัน
ฉันไม่ได้ คิดดูถูกอะไรเลยนะคะ ที่พูดแบบนี้ เพียงแต่จะเล่าให้ฟังว่า การที่เราเลือกที่จะใช้ชีวิต ไม่เหมือนกัน ของคนเรามันก็มีผลกับจิตใจในยามเจ็บป่วย พอสมควร
คนที่เคย ดูแต่หนังฝรั่ง ดู ข่าว BBC อะไรพวกนี้ จะไม่มีทาง เตรียมใจได้ เมื่อต้องมาเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมอย่างกระทันหัน แค่ในยามปรกติก็ลำบากแล้ว ยิ่งมาเจ็บป่วย ก็ยิ่งลำบาก ฉันเครียดจัดแต่ไม่เคย แสดงออกให้ใครทราบ พี่สาวและครอบครัวเค้าก็ดูแลฉันดีมาก แต่ คงไม่เข้าใจ แบบลึก ๆ ว่าคนป่วยโรคสมอง ไม่เหมือน คนที่ป่วยจาก เชื้อไวรัสต่าง ๆ
ฉัน พยายามดิ้นรน หาทางใช้อินเทอร์เน็ต โดยการซื้อแอร์การ์ด และโชคดีที่มีโน๊ตบุ๊ค ตัวเก่งมาด้วย ฉันยังมีงานเก่า ๆ และ รูปเพื่อน ๆ ที่ทำให้ฉัน เริ่มจดจำอะไรต่าง ๆ ได้
ฉัน เพิ่งสมัครใช้เฟสบุ๊ค ไม่นานก่อนป่วย จึงมีเพื่อน ไม่ถึง 100 คน เชื่อไหมฉัน จำเพื่อนได้ ไม่ถึง 10 คน ฉัน พยายามเข้าไปอ่านดูไฟล์เดิม ๆ แค่การพยายามพิมพ์ ด้วยนิ้วชี้ซ้ายนิ้วเดียวมันก็ยากแล้ว แต่ฉัน ก็สามารถนั่งทั้งวัน พิมพ์นั่นพิมพ์นี่ แปลบทความต่าง ๆ ถ้าโชคดีเน็ต ใช้ได้ดี ฉันก็ได้อ่านข่าวต่าง ๆ ฉัน เป็น คนรักประชาธิปไตย เกลียดความไม่ยุติธรรม ฉะนั้น ฉันจึงเป็น แฟนคลับของคนเสื้อแดง ฉัน ถูกดุ เรื่อง การ ไม่ออกกำลังกาย เอาแต่ นั่งพิมพ์ ๆ อะไรก็ไม่รู้ (ฉัน พยายามพิมพ์ หนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค เรื่อง " คนพัทยา" ที่ฉันรู้จัก หนา 200 กว่าหน้า ใช้เวลา 4 เดือน เต็ม ๆ ในการพิมพ์และ เรียบเรียง ติดต่อโรงพิมพ์และ เข็นมันออกมาได้ 1 เล่ม ฝากขายตามร้านหนังสือออนไลน์และฝากร้านหนังสือ ดีเค บุ๊คสโตร์ พอมีรายได้ บ้าง ไม่ใช่หนังสือที่ดีมากมาย เพราะข้อจำกัดเรื่อง ร่างกาย บางที การนั่งนาน ๆ ก็ทำให้ฉันปวดเมื่อย จนลุกไม่ขึ้น
http://khonpattaya.blogspot.com/
ฉันเชื่อมั่นอยู่อย่างหนึ่งว่าเวลา คนเราอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ ตกต่ำ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย หรือความล้มเหลวทางชีวิตครอบครัวหรือทางหน้าที่การงาน คนๆนั้นต้องค้นหาปุ่ม ๆ หนึ่งในตัวที่จะกดมันทุกครั้งแล้ว เกิดสปาร์ค ฮึดสู้ ๆ ขึ้นมาเอาชนะกับอุปสรรคของตนเอง ฉันไม่มีแรงจูงใจอะไรเลย ไม่มีลูก ไม่มีสามี ไม่มีใครเลย ญาติพีน้องก็ไม่สนิท ไม่ได้ใช้ชีวิตผูกพันธ์ กับใคร สิ่งมีชีวิตที่ฉันอยู่ด้วยนานที่สุด ใกล้ชิดที่สุด คือหมาพุดเดิ้ล สีขาว ชื่อ"ซินดี้" แต่มันก็ถูกรถชนตาย ก่อนฉันป่วย 1 ปี (ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้าฉันป่วย มันคงเศร้ามาก เพราะฉัน คงเดินเล่นกับมันไม่ได้อีกต่อไป คงไม่มีใครรักมันเท่ากับฉันด้วย
ใที่สุดฉันก็ค้นพบว่าเพื่อนที่ดีที่สุดหรือ ปุ่มที่ฉัน สมมุติมันขึ้นมาว่าเป็นแรงบันดาลใจคือคอมพิวเตอร์!
ฉันไม่มีทาง มีชีวิตรอดมาพิมพ์ตรงนี้ได้ ถ้าฉันไม่มีมัน(แปลว่า ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ฉัน ฝึกพิมพ์ สมองฉันก็ไม่ได้คิด ไม่ฟังค์ชั่นเพราะคนเป็นโรคนี้ คือสมอง ไม่สั่งงาน ร่างกายจึงไม่เคลื่อนไหว
คอมพิวเตอร์ ทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้ ทราบข่าวสารบ้านเมือง ได้ดูหนัง ได้ฟังเพลง ได้ นมัสการพระเจ้า
อันที่จริง ๆ ฉันโชคดีที่เป็นคนมีทักษะเรื่อง คอมพิวเตอร์ค่อนข้างดี ก่อนป่วย ฉัน เป็น บรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์ออนไลน์อันดับหนึ่งของภาคตะวันออกคือพัทยาเดลินิวส์ www.pattayadailynews.com
เรามีผู้อ่านทั้งคนไทยและคนต่างชาติมากจนเว็บติดSearch Engine อย่าง Google อันดับหนึ่งประเภทสื่อ ดังนั้น ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมานานเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ มันจึงทำให้ร่างกายฉันฟื้นฟูค่อนข้างเร็วกว่าปรกติ
ฉันจำได้ คุณหมอเดินมาหาฉันวันหนึ่งตอนที่ฉันนอนอยู่โรงพยาบาล ฉันรวบรวมความกล้าถามหมอว่า "ฉันจะหายเป็นปรกติไหมคะหมอ?"
คำตอบคือ " ไม่มีทาง คุณไม่มีทางใช้นิ้วมือพิมพ์ดีดได้(เหมือนเดิม) อีกต่อไป คุณคงทำงานเหมือนเดิมอีกไม่ได้หรอก...ไม่ใช่ด้วยคอมพิวเตอร์ มันเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เหมือนใครมากดปุ่มกระตุกให้ฉันฮึดสู้! ฉันกัดฟันกรอด"คอยดูนะ ฉันจะทำให้ ได้!!ฉันจะไม่เป็นภาร ะ ใครแน่นอน
ฉันไม่มีทาง มีชีวิตรอดมาพิมพ์ตรงนี้ได้ ถ้าฉันไม่มีมัน(แปลว่า ถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์ให้ฉัน ฝึกพิมพ์ สมองฉันก็ไม่ได้คิด ไม่ฟังค์ชั่นเพราะคนเป็นโรคนี้ คือสมอง ไม่สั่งงาน ร่างกายจึงไม่เคลื่อนไหว
คอมพิวเตอร์ ทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้ ทราบข่าวสารบ้านเมือง ได้ดูหนัง ได้ฟังเพลง ได้ นมัสการพระเจ้า
อันที่จริง ๆ ฉันโชคดีที่เป็นคนมีทักษะเรื่อง คอมพิวเตอร์ค่อนข้างดี ก่อนป่วย ฉัน เป็น บรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์ออนไลน์อันดับหนึ่งของภาคตะวันออกคือพัทยาเดลินิวส์ www.pattayadailynews.com
เรามีผู้อ่านทั้งคนไทยและคนต่างชาติมากจนเว็บติดSearch Engine อย่าง Google อันดับหนึ่งประเภทสื่อ ดังนั้น ด้วยประสบการณ์ที่สะสมมานานเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ มันจึงทำให้ร่างกายฉันฟื้นฟูค่อนข้างเร็วกว่าปรกติ
ฉันจำได้ คุณหมอเดินมาหาฉันวันหนึ่งตอนที่ฉันนอนอยู่โรงพยาบาล ฉันรวบรวมความกล้าถามหมอว่า "ฉันจะหายเป็นปรกติไหมคะหมอ?"
คำตอบคือ " ไม่มีทาง คุณไม่มีทางใช้นิ้วมือพิมพ์ดีดได้(เหมือนเดิม) อีกต่อไป คุณคงทำงานเหมือนเดิมอีกไม่ได้หรอก...ไม่ใช่ด้วยคอมพิวเตอร์ มันเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เหมือนใครมากดปุ่มกระตุกให้ฉันฮึดสู้! ฉันกัดฟันกรอด"คอยดูนะ ฉันจะทำให้ ได้!!ฉันจะไม่เป็นภาร ะ ใครแน่นอน
เมื่อฉันได้ ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ฉันก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้กับอุปสรรคที่เกิดขึ้นตรงหน้าให้ได้ สรุปใช้เวลา 16 สัปดาห์ในการเปิด ปิดคอมพิวเตอร์ ฝึกพิมพ์ใหม่ ตัวหนังสือบนแป้นพิมพ์มันเบลอไปหมด จำไม่ได้หรอกว่าตัวไหนหน้าตาเป็นยังไง ฉันต้อง อาศัยหลานสาวให้อ่าน สิ่งที่ฉันพิมพ์ว่าเค้าอ่านได้ถูกต้องตามที่ฉันต้องการพิมพ์ไหม
เรื่อง โทรศัพท์ก็เป็นเรื่อง ใหญ่ ฉันรอให้คนที่ออฟฟิศส่งโทรศัพท์มาให้ อย่าง ใจจดใจจ่อ เพราะ ฉันเมมโมรีเพื่อฝูงไว้เต็มไปหมด ฉันอยากคุยกับเพื่อน แต่กว่าฉันจะได้โทรศัพท์ ก็ใช้เวลาเป็นเดือน เพราะ คนที่ดูแล ออฟฟิศคงคิดว่าฉันไม่มีความจำเป็นต้องทำงาน ไม่ควร ติดต่อใครอีก ไม่ควรรับรู้ปัญหาอะไร เดี๋ยวจะป่วยหนักขึ้นไปอีกมั๊ง
สรุป พอได้โทรศัพท์มา มันก็ยิ่งน่าตกใจ เพราะ ฉัน พูดโทรศัพท์ ไม่รู้เรื่อง คือฉัน ฟังคนปลายสายไม่รู้เรื่อง หมอบอกประสาทหูฉันอาจจะเสียหาย ที่คนปลายสาย ฟังฉันไม่รู้เรื่อง เพราะฉัน ตะโกนมากกว่า เพราะฉันฟังไม่รู้เรื่อง แล้ว คิดว่าคนฟัง ไม่รู้เรื่องด้วย มันเหมือนฝันร้ายจริง ๆ ที่ค้นพบ อะไร ใหม่ ๆ ทุกวัน ว่าฉัน ไม่สามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้อีกต่อไป
อย่างน้อย ฉันก็ดีใจมากกก.... ที่สามารถฟื้นฟูความจำเรื่อง การใช้งานคอมพิวเตอร์ ได้ เกือบเหมือนเดิม จะลำบากก็โปรแกรมตบแต่งรูปภาพที่ต้อง กดแป้น คอนโทรล คู่กับ แป้นนั่นนี่ แต่ไม่ใช่ปัญหา
อย่างไรก็ตาม พอฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่า ฉันต้องทำได้ ฉันก็ฮึดสู้ ลุกขึ้นมาทำ พยายามทุกวิถีทาง ฉันใช้เวลา กัดฟันต่อสู้อยู่ 16 สัปดาห์ให้ตนเองดีขึ้น เป็น 4 เดือนที่ พยายามจนฉันมีความหวังในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ฉันสามารถ เดิน(ช้า ๆ ไม่ใช้ไม้เท้า ) ทานอาหารได้เอง พูดได้ชัดขึ้นเร็วขึ้น กลับมาอ่านหนังสือได้เข้าใจขึ้น ฉันมีเรื่องราวจะบอกผู้คนและบอกโลกมากขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า เมื่อคนเรามี determination(ความมุ่งมั่น ) เราต้อง ออกไปเลย ออกไปจากขอบเขตหรือรั้ว ที่กั้นเราไว้ ออกไปคว้ามัน(สิ่งที่เราต้องการ) แล้วเขย่ามัน ตะโกนใส่หน้ามันว่า "มานี่" "ฉันต้องทำให้ได้" ท่องทวนไว้ในใจ
ความมุ่งมั่นหรือ determination ไม่ได้ใช้กับการต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่มันใช้กับทุกเรื่องในชีวิตคนเราทีเดียว..เอาชนะได้ทุกเรื่อง!!
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ถ้าไม่เบื่อ กดอ่านต่อ เรื่องการต่อสู้ลิ้งค์ข้างล่างนี้นะคะ
👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇
การต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น ในที่สุดฉันก็เดินได้แล้ว!
เรื่อง โทรศัพท์ก็เป็นเรื่อง ใหญ่ ฉันรอให้คนที่ออฟฟิศส่งโทรศัพท์มาให้ อย่าง ใจจดใจจ่อ เพราะ ฉันเมมโมรีเพื่อฝูงไว้เต็มไปหมด ฉันอยากคุยกับเพื่อน แต่กว่าฉันจะได้โทรศัพท์ ก็ใช้เวลาเป็นเดือน เพราะ คนที่ดูแล ออฟฟิศคงคิดว่าฉันไม่มีความจำเป็นต้องทำงาน ไม่ควร ติดต่อใครอีก ไม่ควรรับรู้ปัญหาอะไร เดี๋ยวจะป่วยหนักขึ้นไปอีกมั๊ง
สรุป พอได้โทรศัพท์มา มันก็ยิ่งน่าตกใจ เพราะ ฉัน พูดโทรศัพท์ ไม่รู้เรื่อง คือฉัน ฟังคนปลายสายไม่รู้เรื่อง หมอบอกประสาทหูฉันอาจจะเสียหาย ที่คนปลายสาย ฟังฉันไม่รู้เรื่อง เพราะฉัน ตะโกนมากกว่า เพราะฉันฟังไม่รู้เรื่อง แล้ว คิดว่าคนฟัง ไม่รู้เรื่องด้วย มันเหมือนฝันร้ายจริง ๆ ที่ค้นพบ อะไร ใหม่ ๆ ทุกวัน ว่าฉัน ไม่สามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้อีกต่อไป
อย่างน้อย ฉันก็ดีใจมากกก.... ที่สามารถฟื้นฟูความจำเรื่อง การใช้งานคอมพิวเตอร์ ได้ เกือบเหมือนเดิม จะลำบากก็โปรแกรมตบแต่งรูปภาพที่ต้อง กดแป้น คอนโทรล คู่กับ แป้นนั่นนี่ แต่ไม่ใช่ปัญหา
อย่างไรก็ตาม พอฉันตัดสินใจเด็ดขาดว่า ฉันต้องทำได้ ฉันก็ฮึดสู้ ลุกขึ้นมาทำ พยายามทุกวิถีทาง ฉันใช้เวลา กัดฟันต่อสู้อยู่ 16 สัปดาห์ให้ตนเองดีขึ้น เป็น 4 เดือนที่ พยายามจนฉันมีความหวังในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ฉันสามารถ เดิน(ช้า ๆ ไม่ใช้ไม้เท้า ) ทานอาหารได้เอง พูดได้ชัดขึ้นเร็วขึ้น กลับมาอ่านหนังสือได้เข้าใจขึ้น ฉันมีเรื่องราวจะบอกผู้คนและบอกโลกมากขึ้น ฉันเรียนรู้ว่า เมื่อคนเรามี determination(ความมุ่งมั่น ) เราต้อง ออกไปเลย ออกไปจากขอบเขตหรือรั้ว ที่กั้นเราไว้ ออกไปคว้ามัน(สิ่งที่เราต้องการ) แล้วเขย่ามัน ตะโกนใส่หน้ามันว่า "มานี่" "ฉันต้องทำให้ได้" ท่องทวนไว้ในใจ
ความมุ่งมั่นหรือ determination ไม่ได้ใช้กับการต่อสู้โรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่มันใช้กับทุกเรื่องในชีวิตคนเราทีเดียว..เอาชนะได้ทุกเรื่อง!!
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ ถ้าไม่เบื่อ กดอ่านต่อ เรื่องการต่อสู้ลิ้งค์ข้างล่างนี้นะคะ
👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇👇
เมื่อเส้นเลือดฝอยที่อยู่ในสมองแตก เลือดจะไหลซึมออกมาอย่างช้า ๆ เมื่อพบกับสถานการณ์อย่างนี้ ขอให้ตั้งสติ ไม่ว่าช่วงจังหวะที่เกิดเหตุนั้นอยู่ ณ ที่ใด (ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ห้องนอน หรือ ห้องนั่งเล่น) ขออย่าได้มีการเคลื่อนย้าย ผู้ป่วยเป็นอันขาด เพราะถ้ามีการเคลื่อนย้าย จะเป็นตัวช่วยเร่งรอยแตกของเส้นเลือดฝอยให้มากขึ้น
ตอบลบสิ่งแรกที่ควรทำคือ ประคองผู้ป่วยให้เอนนั่งตัวตรงมั่นคงก่อน ระวังอย่าให้ล้มเอนลงอีก
อ่านต่อ http://goo.gl/30UKDg
หยุดแชร์บาป เรื่อง...เจาะเลือดที่นิ้ว รักษาเส้นเลือดสมองแตก
ลบการแชร์ข้อมูลเท็จ นอกจากจะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แล้วยังมีแต่โทษมหันต์ตามมา
คนที่แชร์ข้อมูลนี้ไม่นับเป็นคนใจบุญหรอกนะ แต่เป็นคนโง่ที่ทำบาปโดยไม่เจตนามากกว่า
ถ้าคุณตกข่าวเรื่องนี้ก็ขอโทษด้วยค่ะ
http://thaistrokesurvivor.blogspot.com/2015/02/blog-post.html