วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เมื่อต้องตัด ถุงน้ำดี ออกจากร่างกาย

CR: Pawoot Personal Blog & Think Tank

ในวันที่ 3 พฤษภาคม ปี 2010 ผมเริ่มมารู้ตัวว่า ในถุงน้ำดีของตัวเองมี ติ่งเนื้อ (Polyp) ก้อนนึง หลังจากตรวจร่างกายประจำปีที่ โรงพยาบาลพญาไท 2 และผมขอเพิ่มด้วยแพ็กตรวจมะเร็ง โดยได้ทำการตรวงช่องท้องช่วงล่าง ด้วยการอัลตราซาวน์ แต่หลังจากได้คุยกับหมอ หมอก็บอกว่ามันไม่เป็นอะไร ใครๆ ก็เป็นกันได้ และไม่ร้ายแรง

จนกระทั่งผมย้ายมาตรวจร่างกายที่ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท (ตอนนั้นมีบัตรกสิกรไทยเลยมาตรวจได้ฟรี) และเช่นเดิม ผมซื้อแพ็กเกจตรวจมะเร็ง และตรวจช่องท้องช่วงล่าง ด้วยการอัลตร้าซาวน์ และหมอก็ได้เจอเจ้าติ่งเนื้อนี้ในถุงน้ำดีผมอีกเช่นเดิม… ผมบอกว่ามันขนาด 1 cm กว่าๆ ขนาดใหญ่นิดนึง ไม่อันตราย แต่ขอให้คอยติดตามดูทุกๆ ปี
ข้อมูลจากออนไลน์ 
ตื่งเนื้อในถุงนำ้ดี (Gallbadder Polyp) ความเสี่ยงที่มีก็คือ มะเร็ง ของถุงน้ำดี โดยทั่วไปติ่งเนื้อชิ้นเล็กมากๆ อัลตราซาวน์บอกไม่ได้หรอกว่าเป็นมะเร็งหรือติ่งเนื้อธรรมดา จึงเกิดการศึกษาทางสถิติกันว่า ขนาดเท่าไหร่จึงจะน่ากังวลมีโอกาสที่ติ่งเนื้อนั้นเป็นมะเร็งมากหน่อย ซึ่งก็คือราวๆ 1 ซม. อย่างไรก็ตาม ต้องดูภาวะอื่นๆประกอบด้วยนอกจากขนาด ติ่งเนื้อมันจะอยู่กับที่ มันไม่กลิ้งไปมาได้แบบนิ่ว โอกาสที่ติ่งเนื้อจะอุดตันท่อน้ำดีจึงน้อยมาก

Polyp คือติ่งเนื้อ
ผมเองก็มาตรวจร่างกายแทบทุกปี และก็ติดตามเจ้าติ่งเนื้อก้อนนี้ อย่างไม่ได้ให้ความสนใจอะไร เพราะหมอก็บอกแล้วว่ามันไม่เป็นอะไร ไม่อ้นตราย จนกระทั่งในปี 2016 หมอก็ตรวจพบเช่นเดิม (ติดตามมา 6 ปี) แต่ครั้งนี้ แกมีความเห็นว่าควรให้หมอเฉพาะทางดูว่ามันอันตรายหรือไม่ ผมได้ไปพบกับคุณหมอด้านช่องท้อง และแกก็มีความเห็นว่า “ก้อนเนื้อ (Polyp)” ก้อนนี้มีขนาดใหญ่เกิน 1 cm ซึ่งมันมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเนื้อร้าย หรือมะเร็ง (Cancer) ได้เค้ามีความเห็นว่า “ควรผ่าออก” ผมก็ไม่มั่นใจเลยไปเช็กกับหมออีกท่าน ซึ่งหลังจากแกดู แกก็ลงความเห็นเช่นกันว่า ควรผ่าออก ผมก็กลับไปบอกที่บ้าน ตอนนั้นใจก็ตัดสินใจไปผ่าล่ะ นัดวันอะไรเรียบร้อยแล้ว ในช่วงเดือน พฤษจิกายน 2016

สีเขียวๆ คือถุงน้ำดีครับ
แต่อยู่ๆ ก็มาได้รู้จักหลักสูตรของ “หมอเขียว” แพทย์วิถีไทย จากคุณอาผม มันเป็นการปรับวิถีชีวิตในการทานอาหาร ด้วยการทานผักผลไม้เป็นหลัก ควบคุมกรดด่างในร่างกาย การออกกำลังกาย และมีหลายคนที่เป็นมะเร็งหายหลังจากไปเข้าค่ายนี้ ผมก็เลย ยกเลิกนัดหมอที่ผ่าตัดเอาติ่งเนื้อออกไป แล้วก็ผมไปเข้าค่ายหมอเขียว แถวสวนป่าปทุมธานีมา 2 วัน ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย และคิดว่าหากลองทานแบบนั้นสักช่วงนึง เจ้าติ่งเนื้อผมก็อาจจะมีขนาดเล็กลงไปก็ได้

การเข้าค่ายหมอเขียว แพทย์วิถีไทย ทำให้ผมให้เรียนรู้ถึงศาสตร์ของการทานอาหารธรรมชาติ การปรับวิถีชีวิตการทานอาหาร ให้เหมาะสมกับมนุษย์ คือ มนุษย์คือสัตว์กินพืช ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ ดังนั้นเราควรทานพืชผักเป็นหลัก เนือควรหลีกเลี่ยง หรือปรับการทานผลไม้และผักก่อนการทานอื่นๆ ก่อนจะทำให้การย่อยทำได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันผมก็ได้นำแนวทางนี้มาใช้กับชีวิต โดยลดและหลีกเลี่ยงการทานเนื้อน้อยลง แต่หากไม่มีจริงๆ ผมก็ทานเนื้อได้ครับ และลดการทานน้ำตาลลง ยิ่งโดยเฉพาะได้ดูรายการของ ที่นี่หมอชิต ที่สัมภาษณ์หมอบุญชัย คุณหมอที่เป็นโรคร้าย แต่ปฏิเสธการรักษาด้วยยาและแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ใช้วิธีการปรับการทานอาหาร และสามารถหายได้ ดูได้ที่นี่ https://youtu.be/kOglwM81Z5c

แต่สุดท้ายผมก็มาตรวจร่างกายอีกในวันที่ 15 กรกฏาคม 2017 และผมก็ตรวจช่องท้องล่างอีก และก็พบเจ้าติ่งเนื้อกลอยใจ ในถุงนำ้ดีเช่นเดิม ขนาดไม่ได้ต่างและลดลงไปเท่าไร ตอนนั้นหมอก็เริ่มบอกผมว่า ควรผ่าออกไปดีกว่า แกเปิดเคสนึงให้ผมดูว่า เป็นเคสคล้ายๆ กับผม มีติ่งเนื้อในถุงน้ำดีเหมือนกัน แต่เค้าไม่ได้ติดตามหรือเจอมาก่อน พอมาเจอทีตอนท่ีมันกลายเป็น “เนื้อร้าย” ในระยะสุดท้ายไปแล้ว ผมฟังจบ ผมบอกคุณหมอว่า “นัดผ่าออกได้เลยครับ”
ผมนัดคุณหมอในช่วงของท่ีผมคิดว่างานผมน่าจะน้อยลงแล้วคือช่วงปลายปี เลยมาลงช่วง 15 พฤษจิกายน 2017 โดยตั้งใจจะพาครอบครัวไปเที่ยวก่อนแล้วค่อยกลับมาผ่า แต่ไปๆ มาๆ เวลาไม่ตรงผมต้องเลื่อนการผ่าออกไปเป็นวันที่ 1 ธันวาคม 2017 แทน

ก่อนวันผ่าตัด 30 พฤษจิกายน 2017

ผมมีคลาสของ DEF รุ่น 2 แทบทั้งวันและช่วงค่ำมีรุ่น 1 รับรุ่น 2 แต่ช่วงเย็นผมรู้สึกไม่ค่อยสบายเลย ท้องเสีย และหมอเองก็สั่งว่า ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ หรือทานอะไรก่อนเที่ยงคืน และขอให้นอนเร็วเพื่อเตรียมตัวไปผ่าตัดอีกวัน ผมเลือกที่ไม่บอกใครเลยว่าผมจะไปผ่าตัด คนที่รู้ว่าผมไปผ่าตัดมีน้อยมากกกก… เพราะผมไม่อยากให้วุ่นวายและมีคนมาเป็นห่วงหรือสนใจมากนัก เดียวๆ ก็ออกมาจาก โรงพยาบาล ยิ่งรู้มากยิ่งวุ่นเ ลยไม่บอกใครเลย แต่ก็บอกเพื่อนๆ และทีมที่คลาส DEF ว่าจะไปตรวจร่างกายพรุ่งนี้ ห้ามดื่ม ห้ามทานอะไร ต้องกลับเร็ว และพอถึงเวลางานช่วงค่ำ ผมก็ไม่สบายจริงๆ เลยแอบขอกลับไปพักก่อน ถึงบ้าน 3 ทุ่มติดๆ แล้วเข้านอนเร็วพร้อมลูก

วันผ่าตัด

ผมไม่เคยผ่าตัดอะไรมาก่อนเลย เลยแอบกังวล ในการผ่าครั้งนี้บ้าง คุณหมอนัดมาในวันที่ 1 ธันวาคม 2017 ช่วง 8 โมง แต่มาสายรถติด แต่มาถึงก็มา ชั่งน้ำหนัก ตรวจความดัน X-Ray ผมงดอาหารมาตั้งแต่เมื่อวาน และขึ้นห้องมารอบ่าย 2 เพื่อเข้าห้องผ่าตัด แต่ในช่วง 12 โมงเค้ามาสวนก้นผมเพื่อนำอึออกให้หมด (เกิดมาเพิ่งเคยโดนสวนก้นก็ครั้งนี้แหละ) และตอนมันก็แหวงๆ หน่อยนะ ก่อนบ่ายมีหมอรมยา มาคุยซึ่งผมทานน้ำมันปลาและวิตามิน B รวมเป็นประจำ ซึ่งมันจะมีโอกาสทำให้เลือดผมแข็งตัวเร็ว เค้าเลยต้องมาตรวจเลือดผมอีก โดนเจาะเลือดหลังหูอีก จนกระทั่งตอนบ่ายโมงครึ่งเค้าก็มารับลงไปห้องผ่าตัด เข้าไปในห้องผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต มันก็โหว่งๆ หน่อย อากาศเย็นเลย ผมขอผ้าห่มมาเพิ่ม เกือบบ่าย 2 แล้วผมก็เห็นว่าหมอแกฉีดยา (น่าจะเป็นยาทำให้หลับ)​ แล้วผมก็หลับล่วงไปเลย ไม่รู้อะไรเลยช่วงนั้น  รู้สึกตัวสลัมสลือ รู้สึกตัว ได้ยินเสียงคนคุยกัน และมีอะไรหนึบ ที่เท้า (น่าจะเป็นตัวบีบเท้าเพื่อปั้มเลือด)
รู้สึกตัวอีกที มีหมอมาปลุก หมอบอกว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว นำถุงน้ำดีออกไปแล้ว ผมรู้สึกว่าทำไมมันเร็วจัง (ก็หลับไปนิ) ตอนนั้นเริ่มเจ็บแปล็บๆ ที่ท้อง พอมองไปตรงท้องผมมีรอยแผล 3 รู เพราะคุณหมอใช้วิธีการผ่าตัดแบบส่องกล้อง 3D4K แบบ MIS ทำให้ไม่ต้องผ่าแผลขนาดใหญ่ ทำให้การฟื้นตัวทำได้เร็วกว่า ดูห้องผ่าตัดที่ผมเข้าไปสิ ห้องนี้เลย
MIS [Minimally Invasive Surgery] – มาตรฐานใหม่สำหรับการดูแลขั้นตอนการผ่าตัด ด้วยเทคนิค และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่จะช่วยให้คุณกลับไปใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วที่สุดไม่ต้องพักฟื้นนานๆ แถมยังแผลเล็ก เจ็บน้อย

ประโยชน์ของการผ่าตัดแบบ MIS:

  • เพิ่มความปลอดภัยด้วยแผลเล็ก ๆ มีบาดแผลน้อยลงกับร่างกายและลดการสูญเสียเลือดลงมาก
  • ลดรอยแผลเป็น – แผลเป็นส่วนใหญ่เพียงแค่เย็บหรือสองครั้งเพื่อปิด
  • ระยะเวลาการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดเร็วกว่า – จากการผ่าตัดแบบดั้งเดิมมักใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์หากผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีก็จะสามารถฟื้นตัวได้เพียง 2 สัปดาห์
  • ลดลงของระยะเวลาพักรักษาตัวในโรงพยาบาล – การผ่าตัด MIS ส่วนใหญ่จะอยู่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 48 ชั่วโมง [2วัน]


แผลจากการผ่าตัดแบบส่องกล้อง 3 รูบนร่างกายผม
ผมกลับมาถึงห้อง ซึ่งเพลียมาก แอบหิวด้วย ไม่ได้ทานอะไรเลยมาวันกว่าๆ หลับๆ ตื่นๆ พยาบาลเดินเข้าออกบ่อยมาก ตรวจนั้นๆ นี่ หลังจากนอนผ่านไปคืนแรกผมหลับแบบตื่นๆ เพราะเจ็บท้อง ผสมกับปวดหลังมาก ซึ่งคุณหมอมาบอกว่าที่ปวดหลัง เพราะเค้าต้องอัดก๊าซคาร์บอนเข้าไปที่ตัวผมตอนผ่าตัดเพื่อทำให้ช่องทางว่างในการผ่าตัด ทำให้มันอาจจะไปกดกล้ามเนื้อทำให้มันปวดได้ เดียวก็หาย

ถุงน้ำดีผมที่ผ่าออกมา จุดที่ชี้คือ ติ่งเนื้อครับขนาดใหญ่เลยทีเดียว

ซูมเข้าไปดูใกล้ๆ ที่ติ่งเนื้อผม ใหญ่เหมือนกันนะ ดีแล้วที่เอาออกไป

วันหลังผ่าตัด

ตื่นเช้ามา หลับๆ ตื่น จนถึงช่วง 10 โมงกว่าคุณหมอก็มา แล้วเอาภาพมาให้ดูและบอกว่าต้องทำยังไงหลังผ่าตัด ผมทานซุปได้ในช่วงเที่ยง ช่วงเย็นๆ เอ็มพาลูกๆ มาเยี่ยม วันนี้ผ่านไปอาการดีขึ้น อาการปวดหลังหายไป แต่ยังมีอาการจุกบ้าง เค้าให้โจ๊กมาทานแต่ก็ไม่อิ่มอะ เลยอาบน้ำ (ลำบากสัดๆ) แล้วเดินลงไปทานโอ๊ตโตย่าข้างล่างอย่างช้าๆ เดินไปก็ปวดแผลไป กลับขึ้นมานั่งดู Series ใน Netflix ไปเรื่อยจนหลับล่ะ

ชีวิตหลังไร้ถุงน้ำดี

ยังไม่ได้วางแผนอะไร แต่เท่าที่รู้คือ การที่เราไม่มีถุงนำ้ดีแล้วนั้น การกำจัดไขมันออกจากร่างกายของเราก็จะทำได้ลำบากมากขึ้น แต่โชคดีที่ผมเป็นคนไม่ชอบทานอะไรมันๆ อยู่แล้ว และร่างกายก็จะปรับสภาพให้เหมาะสม เดียวคงต้องมาดูกันว่าเป็นอย่างไร

ยังไงก็ขอให้บทความนี้เป็นข้อมูลที่คนเป็นติ่งเนื้อในถุงน้ำดีอย่างผมนะครับ

** สรุปสิ่งที่คุณควรทำหลังอ่านบทความนี้จบ

  1. ควรตรวจร่างกายประจำปีอย่างต่อเนื่องทุกปีครับ ซีเรียสมากๆ ครับ
  2. ไม่ควรตรวจแค่แพ็กปกติ ควรตรวจแพ็กมะเร็ง หรือช่วงบนและช่วงล่างของเราด้วยครับ หมอจะเช็กละเอียดมากขึ้น จ่ายแพงขึ้นหน่อย แต่ก็คุ้มว่าที่เราจะไปเจออะไรประหลาดๆ ในอนาคตครับ (ถ้าผมไม่ตรวจช่วงล่างของร่างกาย ผมจะไม่เจอเจ้าติ่งเนื้อนี้เลยนะครับ และหากปล่อยไป มันอาจจะกลายเป็นเนื้อร้ายได้ นึกไม่ออกจริงๆ หากผมไม่ได้เช็กละเอียด)
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทานผักผลไม้ ลดน้ำตาลจริงๆ จังครับ อันนี้ซีเรียสจริงๆ หากอยากสุขภาพดี และอยากอยู่กับคนที่เรารักไปนานๆ ไม่สร้างปัญหาให้เค้ากับเค้าครับ

อ้างอิงข้อมูลเกี่ยวกับการตัดถุงนำ้ดี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น