แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคหลอดเลือด แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ โรคหลอดเลือด แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด


เป็นอาการที่เกิดจากการมีเลือดไปเลี้ยงหัวใจ
ไม่เพียงพอต่อความต้องการของหัวใจขณะนั้น
 



สาเหตุ 

เกิดจากหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัว หรือมีไขมันไปเกาะผนังของหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง ปริมาณเลือดแดงผ่านได้น้อย เป็นผลทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหากหลอดเลือดแดงตีบแคบมากจนอุดตัน จะทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ 

อาการ 
มักแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น เจ็บกลางหน้าอกบริเวณเหนือลิ้นปี่ขึ้นมาเล็กน้อย เจ็บแบบจุกแน่น คล้ายมีอะไรมาบีบหรือกดทับไว้ อาการเจ็บมักร้าวไปที่คอหรือขากรรไกร หรือไหล่ซ้าย มักเป็นมากขณะออกกำลังกายหรือทำงาน เป็นอยู่นานครั้งละ 2-3 นาที อาการจะดีขึ้นถ้าได้หยุดพัก หรืออมยาขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ บางคนอาจมีอาการจุกแน่นลิ้นปี่เหมือนอาหารไม่ย่อย บางคนมีอาการใจสั่น หอบเหนื่อยร่วมด้วย
การรักษา

เมื่อมีการตรวจโดยแน่ชัดด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ตรวจโดยการเดินออกกำลังกายบนสายพาน หรือโดยวิธีการใส่สายสวยหัวใจเข้าทางหลอดเลือดแดงบริเวณขาหนีบ และฉีดดูตำแหน่งการตีบตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ เป็นต้น แพทย์จะประเมินภาวะความรุนแรงของโรคและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น การใช้ยาขยายหลอดเลือด มีทั้งชนิดอมใต้ลิ้น, ยารับประทาน และให้ทางหลอดเลือดดำ การให้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกร็ดเลือดแข็งตัว เช่น แอสไพริน การให้ยาลดการบีบตัวของหัวใจ เพื่อลดการทำงานของหัวใจ และลดการใช้ออกซิเจน การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องควบคู่ไปกับการรักษาทางยาส่วนใหญ่มักได้ผลดี แต่ในภาวะรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อยา แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาโดยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ หรือผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือด เพื่อให้เลือดเดินทางผ่านจุดที่อุดตัน โดยใช้เส้นเลือดที่บริเวณแขนหรือขา 

การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 

รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง รับประทานผัก ผลไม้และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร รับประทานอาหารแต่พออิ่ม และควรพักหลังอาหารประมาณ ½- 1 ชั่วโมง ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือการเดิน เริ่มโดยการเดินช้าๆ ก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มระยะทาง แต่อย่าให้เกินกำลังตนเอง ทำจิตใจให้สงบ หาโอกาสพักผ่อน และหาวิธีลดความเครียด หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้น เช่น การดูเกมการเข่งขันที่เร้าใจ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงและเค็มจัด งดดื่มสุรา น้ำชา กาแฟ และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงงานหนัก งานรีบเร่ง และงานที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องนานๆ เมื่อมีอาการเจ็บหน้าอก ให้หยุดกิจกรรมนั้นๆ ทันทีและอมยาใต้ลิ้น 1 เม็ด ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลงให้อมยาใต้ลิ้นซ้ำได้อีก 1 เม็ด ห่างกัน 5 นาที แต่ไม่ควรเกิน 3 เม็ด หากอาการไม่ดีขึ้นใน 15-20 นาที ให้รีบไปพบแพทย์ได้ทันที การมีเพศสัมพันธ์ไม่ควรหักโหม ควรอมยาใต้ลิ้นก่อนมีเพศสัมพันธ์ ถ้ามีอาการใจสั่น หายใจขัด หรือเจ็บหน้าอกนานเกิน 15 นาทีหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรปรึกษาแพทย์ 

การป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 

หลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารที่มีไขมัน – กะทิ รวมทั้งไข่แดง ทำให้มีการสะสมไขมันในหลอดเลือด ก่อให้เกิดแผ่นคราบไขมันตามมา ควรรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ผัก ปลา ผลไม้ และอาหารที่มีกากมากๆ เช่นรำข้าว ข้าวโพด ข้าวสาลี ฯลฯ ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง นานครั้งละ 20 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาและเพิ่มความถี่ในการออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะในบุหรี่มีสารนิโคตินและสารอื่นๆ ที่จะทำอันตรายต่อผนังบุด้านในหลอดเลือด  การสูบบุหรี่ยังทำให้หลอดเลือดหัวใจหดตัว นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียดกับงาน ควรทำสมาธิหรือฟังเพลงเบาๆ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน โดยใช้วิธีออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่ถูกต้อง เช่นงดขนมหวาน, ผลไม้รสหวานจัด เพราะหัวใจของคนอ้วนต้องทำงานมากกว่าปกติ ตรวจเช็คสุขภาพอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้ามีอาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็นๆ หายๆ ควรปรึกษาแพทย์

โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และอาการใจสั่น

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559

มารู้จัก “หลอดเลือด” กันเถอะ


หลอดเลือดมีอยู่ทุกส่วนของร่างกาย มีหน้าที่นำสารอาหาร และก๊าซออกซิเจนที่ลำเลียงไปกับเลือด เพื่อไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย เมื่อไปถึงเซลล์จะมีการแลกเปลี่ยนอาหารและก๊าซต่างๆ ถ้านำหลอดเลือดในร่างกายมาต่อกันจะมีความยาวประมาณ 100,000 ไมล์ (96,000 กม. สามารถพันรอบโลกได้ 2.5 รอบ!!) ซึ่งเยอะมากๆ
หลอดเลือดในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1.หลอดเลือดแดง ( Artery )
2.หลอดเลือดดำ ( Vein )
3.หลอดเลือดฝอย ( Capillary )
หลอดเลือดแดง ( Artery )
หมายถึง
หลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจ ซึ่งจะเป็นเลือดที่มีปริมาณออกซิเจนสูงเป็นเลือดที่มีสีแดงสด ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ( ยกเว้นหลอดเลือดที่ไปสู่ปอดชื่อ pulmonary artery ซึ่งจะนำเลือดดำจากหัวใจที่มีคาร์บอนไดออกไซด์สูงไปฟอกที่ปอด )
ลักษณะของหลอดเลือดแดง

- มีผนังหนา โดยจะมีลักษณะเป็นชั้นกล้ามเนื้อที่หนาและยืดหยุ่น ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น คือเนื้อเยื่อด้านในสุดเป็นเนื้อเยื่อบุผิว ชั้นกลางเป็นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่สามารถยืดหยุ่นได้ เนื้อเยื่อชั้นนอกเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ยืดหยุ่นได้เช่นเดียวกัน
- ผนังมีความยืดหยุ่นดีมาก เพราะประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ทำให้สามารถขยายตัวเพื่อรับแรงดันเลือดค่อนข้างสูงที่เกิดจากการบีบตัวของหัวใจห้องล่างซ้าย
เส้นเลือดแดงที่อยู่ไกลหัวใจออกไปจะมีขนาดเล็กลง กล้ามเนื้อน้อยลง ผนังมีความยืดหยุ่นน้อยลง ความดันเลือดน้อยลง เส้นเลือดแดงจะมีขนาดต่างๆกัน ขนาดใหญ่ที่สุด คือ หลอดเลือดแดงใหญ่ ผนังของหลอดเลือดแดงที่มีขนาดใหญ่ต้องมีความแข็งแรง และสามารถขยายตัวรับแรงดันของเลือดที่เคลื่อนผ่านตามจังหวะการเต้นของหัวใจ และหดตัวให้มีขนาดเท่าเดิมเมื่อแรงดันผ่านไป ดังนั้นเมือหลอดเลือดแดงซึ่งมีขนาดใหญ่ฉีกขาดเลือดจะพุ่งออกมาเป็นจังหวะตามการเต้นของหัวใจ
หลอดเลือดแดงมี 3 ขนาด เรียงจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ
- เอออร์ตา ( aorta ) หลอดเลือดแดงขนาดใหญ่สุด ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดแดงที่ถูกสูบฉีดออกจากหัวใจห้องล่างซ้ายโค้งไปทางด้านหลัง ทอดผ่านช่องอกและช่องท้อง ขนาดใหญ่สุดมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว
- อาร์เทอรี ( artery )หลอดเลือดแดง ทำหน้าที่นำเลือดไปเลี้ยวส่วนต่างๆของร่างกาย หลอดเลือดมีผนังกล้ามเนื้อหนาเพื่อให้ทนต่อแรงดันเลือด
- อาร์เทอริโอล ( arteriole )หลอดเลือดแดงเล็ก ซึ่งสามารถจะขยายตัวหรือหดตัวได้ เพื่อบังคับการไหลของเลือด
หลอดเลือดดำ ( Vein )
หมายถึง
หลอดเลือดที่นำเลือดที่มีของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์ ( เลือดดำ ) ที่ร่างกายใช้แล้วจากส่วนต่างๆของร่างกายกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนขวา (Right atrium ) เพื่อนำกลับไปฟอกที่ปอด (ยกเว้นหลอดเลือดดำปอดที่ชื่อ pulmonary vein ซึ่งจะนำเลือดแดงที่ผ่านการฟอกจากปอดแล้วนำกลับเข้าสู่หัวใจห้องบนซ้าย) ภายในหลอดเลือดดำจะมีความดันต่ำ ถ้าหลอดเลือดดำฉีกขาด เลือดที่ไหลออกมาจะไหลรินๆคงที่ และสม่ำเสมอ ห้ามเลือดหยุดได้ง่ายกว่าหลอดเลือดแดงฉีกขาด
ลักษณะของเส้นเลือดดำ
- มีผนังบาง ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชั้น เช่นเดียวกับหลอดเลือดแดงแต่บางกว่า
- ผนังมีความยืดหยุ่นได้น้อย เพราะมีเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันน้อย
- มีลิ้นกั้นไม่ให้เลือดไหลย้อนกลับ
หลอดเลือดดำมี 3 ขนาด เรียงจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ
1.เวนาคาวา ( vena cava ) เป็นเส้นเลือดที่นำเลือดจากส่วนต่างๆของร่างกายเข้าสู่หัวใจ มีอยู่ 2 เส้น คือ
-สุพีเรีย เวนาคาวา (Superior Vena Cava) เป็นเส้นเลือดที่นำเลือดกลับจากหัว อก คอ และแขนเข้าสู่หัวใจ
- อินฟีเรีย เวนาคาวา(Inferior Vena Cava) เป็นเส้นเลือดดำที่นำเลือดจากส่วนต่างๆที่อยู่ต่ำกว่ากะบังลมไปยังหัวใจ
2.เวน ( vein )เป็นเส้นเลือดดำที่นำเลือดมาจากอวัยวะต่างๆของร่างกาย
3.เวนูล ( venule )เป็นเส้นเลือดดำที่มีขนาดเล็ก ติดกับเส้นเลือดฝอย
หลอดเลือดฝอย ( Capillary )
หมายถึง
หลอดเลือดที่เชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดแดงขนาดเล็ก ( arteriole ) ไปยังหลอดเลือดดำขนาดเล็ก (venule ) โดยจะแทรกอยู่ในเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย เช่น ผิวหนัง กล้ามเนื้อ สมอง และอวัยวะอื่นๆ ยกเว้นเส้นผม และเล็บจะไม่มีหลอดเลือดฝอย
ลักษณะของเส้นเลือดฝอย
หลอดเลือดฝอยเป็นหลอดเลือดที่มีขนาดเล็กที่สุดในร่างกายมีทั้งเส้นเลือดแดงฝอย และเส้นเลือดดำฝอยมีเนื้อเยื่อบางมาก มีจำนวนมากเพราะเป็นส่วนที่ต้องแยกไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย มีผนังบาง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 7 ไมโครเมตร ประกอบด้วยเซลล์เพียงชั้นเดียว มีหน้าที่เป็นแหล่งที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซ และสารต่างๆระหว่างเลือดกับเซลล์ของร่างกาย์ โดยวิธีการแพร่ เส้นเลือดฝอยในร่างกายมีมาก เพราะเป็นส่วนที่ต้องแยกไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ข้อมูล:จากอินเตอร์เน็ต