ว่านหางจระเข้ ภาษาอังกฤษ Aloe (อะโล) หรือ Aloe Vera, Aloin , Barbados ,
Jafferabad, Star Cactus
ว่านหางจระเข้ ชื่อวิทยาศาสตร์ Aloe vera (L.) Burm.f. จัดอยู่ในวงศ์ ASPHODELACEAE
สมุนไพรว่านหางจระเข้ มีชื่อท้องถิ่นอื่นๆ เช่น ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ), หางตะเข้ (ภาคกลาง) เป็นต้น
ต้นว่านหางจระเข้ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมในแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบริเวณตอนใต้ของทวีปแอฟริกา
โดยจัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกมีอายุหลายปี มีความสูงประมาณ 0.5-1 เมตร
ลำต้นเป็นข้อปล้องสั้น มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบหนาและยาว อวบน้ำ แผ่นใบมีสีเขียว
มีจุดยาวสีขาวอ่อน ออกเรียงเวียนรอบต้น โคนใบใหญ่ ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก
มีหนามแหลมเล็กๆสีขาวอยู่ห่างกัน ข้างในใบเป็นวุ้นสีเขียวอ่อน ส่วนดอกว่านหางจระเข้
ออกดอกเป็นช่อกระจะที่ปลายยอด ดอกมีสีแดมอมสีเหลือง ก้านช่อดอกยาว
โคมเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2
ชั้น เป็นรูปแตร ส่วนผลว่านหางจระเข้ เป็นผลแห้งคล้ายรูปกระสวย
คำว่า “อะโล” (Aloe) มาจากภาษากรีกโบราณ
ที่หมายถึงว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นคำที่แผลงมาจากคำว่า “Allal” ในภาษายิวที่มีความหมายว่าฝาดหรือขม
เพราะเมื่อคนได้ยืนคำนี้ก็จะนึกถึงว่านหางจระเข้นั่นเอง
ว่านหางจระเข้ปกติแล้วเป็นพืชที่ขึ้นในเขตร้อนและภายหลังได้แพร่ขยายพันธุ์ไปสู่เอเชียและยุโรป
จนทุกวันนี้ว่านหางจระเข้ก็เป็นที่นิยมของทั่วโลกไปแล้ว
โดยว่านหางจระเข้จะมีมากมายกว่า 300 สายพันธุ์
ซึ่งมีตั้งแต่ขนาดเล็กกว่า 10 เซนติเมตรไปจนถึงสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่
ลักษณะพิเศษของว่านหางจระเข้ก็คือ มีใบแหลมคล้ายเข็ม มีเนื้อหนาและในเนื้อมีน้ำเมือกเหนียว
เมื่อพูดถึง สมุนไพรว่านหางจระเข้ เรามักจะนึกถึงสรรพคุณในการรักษาแผลไฟไหม้
น้ำร้อนลวก แผลสด ช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน ใช้ทาเพื่อรักษารอยแผลเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ
ซึ่งสารที่สามารถใช้รักษาแผลดังกล่าวได้เป็นสาร Glycoprotein ที่มีชื่อว่า
Aloctin A เป็น Anti-inflammatory ที่พบได้ในทุกๆ
ส่วนของว่านหางจระเข้ ซึ่งนอกจากสรรพคุณดังกล่าวแล้วยังมีประโยชน์ของว่านหางจระเข้อื่นๆอีกมากมาย ไปดูกันเลย…
สรรพคุณของว่านหางจระเข้
1. ช่วยป้องกันโรคเบาหวาน ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้น
หรือจะทำเป็นน้ำปั่นว่านหางจระเข้มาดื่มก็ได้
ก็จะช่วยบรรเทาอาการและป้องกันโรคเบาหวานได้
2.ว่านหางจระเข้ สรรพคุณช่วยแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการตัดใบสดของว่านหางจระเข้
แล้วทาปูนแดงด้านหนึ่ง แล้วเอาด้านที่ทาปูนปิดตรงขมับ
จะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้ (ใบ)
3.วุ้นว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
ช่วยป้องกันและลดการเกิดแผลในกระเพาะขณะท้องว่าง
ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่างๆ
4. สรรพคุณ ว่านหางจระเข้ช่วยแก้กระเพาะลำไส้อักเสบ
ด้วยการใช้ใบนำมาปอกเปลือกเอาแต่วุ้น นำมารับประทานวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (เนื้อวุ้น)
5.ใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย
ที่เปลือกของว่านหางจระเข้จะมีน้ำยางสีเหลือง ในน้ำยางจะสารแอนทราควิโนน (Anthraquinone) ที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
หากนำน้ำยางไปเคี่ยวให้น้ำระเหยออกแล้วทิ้งไว้ให้เย็น ก็จะได้สารสีน้ำตาลเกือบดำ
หรือเรียกว่า “ยาดำ” ซึ่งยาดำนี้เองใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยาแผนโบราณที่ต้องการให้มีฤทธิ์เป็นยาระบายอยู่หลายตำรับ
(ยางในใบ)
6.ช่วยรักษาอาการท้องผูก ด้วยการกรีดเอายางจากว่านหางจระเข้มาเคี่ยวให้งวด
ทิ้งไว้ให้เย็นจะได้ก้อนยาสีดำ (ยาดำ) แล้วตักมาใช้ประมาณช้อนชา เติมน้ำเดือด 1 ถ้วย แล้วคนจนละลาย
โดยผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 2 ช้อนชาก่อนนอน
แต่ถ้าเป็นเด็กให้รับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาก่อนนอน
7. ช่วยรักษาริดสีดวงทวาร ด้วยการใช้เนื้อวุ้นจากใบเหลาให้เป็นปลายแหลมเล็กน้อย
และนำไปแช่ตู้เย็นหรือน้ำแข็งจนเนื้อแข็ง แล้วนำไปใช้เหน็บในช่องทวารหนัก
ควรหมั่นทำเป็นประจำวันละ 1-2
ครั้ง จนกว่าจะหาย (เนื้อวุ่น)
8. ช่วยแก้หนองใน (ราก,เหง้า)
9. ช่วยแก้มุตกิดหรือระดูขาวของสตรี (ราก,เหง้า)
10.ทั้งต้นของว่านหางจระเข้ มีรสเย็น
ใช้ดองกับสุรานำมาดื่มช่วยขับน้ำคาวปลาได้ (ทั้งต้น)
11.ช่วยบรรเทาและแก้อาการปวดตามข้อ ด้วยการรับประทานเนื้อวุ้นครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ วันละ 3
ครั้งเป็นประจำจะช่วยทำให้อาการปวดดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
12.ใบว่านหางจระเข้มีรสเย็น นำมาตำผสมกับสุราใช้พอกรักษาฝีได้ (ใบ)
13.ช่วยรักษาแผลสด แผลจากของมีคม แผลที่ริมฝีปาก แก้ฝี แก้ตะมอย
ด้วยการใช้วุ้นจากใบนำมาแปะบริเวณแผลให้มิดชิดและใช้14.ผ้าปิดไว้
แล้วหยอดน้ำเมือกลงตรงแผลให้ชุ่มอยู่เสมอหรือจะเตรียมเป็นขี้ผึ้งก็ได้ (วุ้นจากใบ)
15.ช่วยรักษาแผลถลอก
และจากการถูกครูด (แผลพวกนี้จะเจ็บปวดมาก) ให้ใช้วุ้นว่านหางจระเข้นำมาทาแผลเบาๆ
ในวันแรกต้องทาบ่อยๆ จะช่วยในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น
และทำให้ไม่เจ็บแผลมาก (วุ้นจากใบ)
16.ช่วยรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
ช่วยดับพิษร้อนบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนจากแผล
ด้วยการใช้วุ้นจากใบสดที่ล้างน้ำสะอาด แล้วฝานบางๆ
นำมาทาหรือแปะไว้บริเวณแผลตลอดเวลา จะช่วยทำให้แผลหายเร็วมากขึ้นและอาจไม่เกิดรอยแผลเป็นด้วย
(วุ้นจากใบ)
17.ช่วยขจัดรอยแผลเป็น
ทำให้แผลเป็นจางลง ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น (วุ้นจากใบ)
18.ช่วยรักษาตาปลาและฮ่องกงฟุต
ด้วยการใช้วุ้นจากใบที่ล้างสะอาดแล้ว นำมาปิดไว้บริเวณที่เป็นและหมั่นเปลี่ยนบ่อยๆ
จนกว่าจะดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
19.วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด
ด้วยการใช้วุ้นจากใบทาก่อนออกแดด หรือจะใช้ใบสดก็ได้ แต่ใบสดอาจทำให้ผิวหนังแห้ง
เพราะใบมีฤทธิ์ฝาดสมาน ถ้าต้องการลดการทำให้ผิวแห้ง
ก็อาจจะใช้ร่วมกับน้ำมันพืชหรืออาจเตรียมเป็นโลชั่นก็ได้ (วุ้นจากใบ)
20.ช่วยรักษาอาการผิวหนังไม้จากแสงแดด
หรือไหม้เกรียมจากการฉายรังสี หรือแผลเรื้อรังจากการฉายรังสี
โดยนำวุ้นของว่ายหางจระเข้มาทาผิวบ่อยๆ ก็จะช่วยลดการอักเสบได้
แต่ถ้าไปนานๆระวังผิวแห้ง ควรผสมกับน้ำมันพืช
เว้นแต่ว่าจะทำให้ผิวเปียกชุ่มอยู่ตลอดเวลา (วุ้นจากใบ)
21.วุ้นจากใบใช้ทาเพื่อรักษาฝ้า (วุ้นจากใบ)
22.ช่วยรักษาโรคเรื้อนกวาง (โรคสะเก็ดเงิน)
ช่วยลดการตกสะเก็ดและลดอาการคันของโรคเรื้อนกวาง ทำให้แผลดูดีขึ้น (วุ้นจากใบ)
*****************************************************************
สมุนไพรไทยมีหลายชนิดที่มีคุณสมบัติที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวหน้าสดใส เปล่งปลั่ง ขาวเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่ง “ว่านหางจระเข้” เองก็เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่มีคุณสมบัติดังกล่าวอยู่อย่างครบถ้วน แต่มักที่จะถูกคุณสาวๆหลายๆคนมองข้าม หรือเกิดความกลัวไม่กล้าที่จะนำมาใช้กับผิวหน้า เพราะไม่รู้ว่าควรที่จะนำมาใช้อย่างไรจึงจะถูกวิธี? อันตรายกับผิวหน้าหรือเปล่า? ได้ผลมากน้อยเพียงใด? *****************************************************************
สำหรับในวันนี้เลยจะขอพาคุณสาวๆที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ไปเจาะลึกถึงเจ้าสมุนไพรชนิดนี้กัน ว่าทำไมคุณสาวๆ คนอื่นๆ ที่ได้ทดลองใช้ จึงได้มีการแชร์ผลตอบรับที่ดีเยี่ยมถึงประสิทธิภาพของเจ้าว่านหางจระเข้ ในการบำรุงผิวหน้าให้ใสกันอย่างแพร่หลายบนโลกไซเบอร์
ว่านหางจระเข้ช่วยทำให้หน้าใสได้อย่างไร?
ว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติช่วยทำให้กระบวนการเมตะโบลิซึมของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายสารพิษของเชื้อโรค กระตุ้นให้เนื้อเยื่อของผิวหนังที่ชำรุดเกิดการสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ ทำให้ริ้วรอย รอยด่างดำ รอยแผลเป็น รวมไปถึงหลุมสิวบนใบหน้าตื้นขึ้นและหายรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ช่วยทำให้ผิวหน้ากระจ่างใสมากขึ้น
นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ ยังช่วยรักษาผิวหน้าที่ถูกแดดเผาไหม้จนเกรียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าหากนำว่านหางจระเข้ผสมเข้ากับโลชั่นแล้วทาลงบนผิวก็ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันผิวไม่ให้ถูกแสงแดดเผาได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย
การเลือกว่านหางจระเข้ที่เหมาะสม
ควรเลือกว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปี ขึ้นไป ซึ่งจะเป็นช่วงที่เวลาที่ว่านหางจระเข้ทำการสะสมแร่ธาตุเอาไว้ภายในจนมีคุณสมบัติในการเป็นยาสมุนไพรอย่างเพียงพอ โดยให้เลือกจากใบอวบโตที่อยู่ด้านล่างสุด ซึ่งจะมีมีวุ้นอยู่ภายในเป็นจำนวนมาก
การเตรียมว่านหางจระเข้ที่ถูกต้อง
นำว่านหางจระเข้ที่ตัดมาไปแช่น้ำก่อนทั้งเปลือกนอก ประมาณ 10-15 นาที แล้วทำการล้างเอาคราบยางสีเหลืองที่ติดมาออกให้หมดด้วยน้ำสะอาดผสมกับเกลือ และควรเปลี่ยนน้ำในขณะที่ทำการล้างหลายๆครั้ง เพราะถ้าหากล้างออกไม่หมดยางสีเหลืองเหล่านี้จะส่งผลให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง ทำให้เกิดความปวดแสบปวดร้อน หรือเป็นผื่นแดง
จากนั้นให้ทำการปอกเปลือกออกให้หมดจนเหลือเพียงวุ้นใสๆที่อยู่ภายใน แล้วนำวุ้นที่ได้นั้นไปทำการล้างน้ำให้สะอาดอีกครั้ง เมื่อนำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำจนละเอียดจะได้เจลว่านหางจระเข้สดๆ ซึ่งสามารถใช้ในการบำรุงผิวหน้าได้ดีมากกว่าผลิตภัณฑ์เจลว่านหางจระเข้ที่ผ่านการแปรรูปมาแล้ว
ข้อควรระวังในการใช้ว่านหางจระเข้ในการบำรุงผิวหน้า
1. สำหรับคุณสาวๆที่ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะเกิดอาการแพ้เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ในการบำรุงผิวหน้า สามารถทำการทดสอบก่อน โดยการปอกเปลือกว่านหางจระเข้ออกแล้วนำน้ำที่ได้จากวุ้นสีขาวที่อยู่ภายในมาทาในบริเวณโคนหู หรือท้องแขน ทิ้งเอาไว้สักครู่
ถ้าหากมีอาการระคายเคือง รวมไปถึงเกิดผื่นเม็ดแดงขึ้น แสดงว่าแพ้ว่านหางจระเข้ หากไม่มีอาการอะไรเกิดขึ้นก็สามารถที่จะนำว่านหางจรtเข้ไปใช้ในการบำรุงผิวหน้าต่อไปได้ตามปกติ
2. คนที่มีสิวหัวหนองบนใบหน้าควรหลีกเลี่ยงการบำรุงโดยใช้ว่านหางจระเข้ เพราะว่านหางจระเข้จะทำให้สิวหายช้ามากกว่าปกติ
วิธีการใช้เจลว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงหน้าใส
สำหรับวิธีการใช้เจลว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงหน้าให้ใสนั้นมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพผิวของคุณสาวๆแต่ละคน โดยมีวิธีการใช้เจลว่านหางจรเข้ดังต่อไปนี้
1. สูตรพอกหน้าสำหรับคนที่ผิวมัน เริ่มจากการล้างหน้าให้สะอาด แล้วเช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำเจลสดที่เตรียมเอาไว้มาพอกให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบๆดวงตาและรอบๆปาก ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
2. สูตรพอกหน้าสำหรับคนที่ผิวแห้ง ควรผสมว่านหางจระเข้เข้ากับน้ำมันมะกอกและไข่แดงให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปพอกให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบๆดวงตาและรอบๆปาก ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
3. สูตรพอกหน้าช่วยให้ผิวกระจ่างใส และลดความมันบนใบหน้า โดยนำเจลว่านหางจระเข้ 1 ช้อนโต๊ะ ดินสอพอง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 1.5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำไปพอกให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบๆดวงตาและรอบๆปาก ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
สูตรการพอกหน้าโดยการใช้เจลว่านหางจระเข้สด ร่วมกับส่วนผสมชนิดอื่นๆที่เหมาะสมกับสภาพผิวของคุณสาวๆแต่ละคนนั้น สามารถทำการพอกได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ถ้าหากทำการพอกหน้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอคุณสาวๆก็สามารถที่จะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่ขาวเนียนสดใสมากขึ้นกว่าปกติ
อยากหน้าใสเหมือนใช้ว่านหางจระเข้ แต่ไม่มีเวลาทำไงดี?
ด้วยสภาพของสังคมที่เร่งรีบในปัจจุบัน การบำรุงผิวหน้าด้วยการพอกว่านหางจระเข้ อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ยาสำหรับหลายๆคน ดังนั้น ถ้าหากไม่มีเวลาว่างพอที่จะพอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้ คุณสาวๆก็สามารถที่จะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวหน้าที่มีประสิทธิภาพเหมือนกับการใช้ว่านหางจระเข้ได้เช่นกัน แต่การที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดี มีประสิทธิภาพดังกล่าว ท่ามกลางผลิตภัณฑ์บำรุงผิวนับร้อย นับพันชนิดในท้องตลาด ณ ปัจจุบันนั้น ก็เห็นจะเป็นเรื่องที่ยากเอาการเลยทีเดียว แต่สำหรับใครที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าดีๆสักชิ้นที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพของว่านหางจระเข้เอาไว้อย่างครบถ้วนอยู่ล่ะก็ ผู้เขียนก็มีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งคือ Aloe Vera Fresh Gel มาฝากให้ลองนำไปใช้กัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น