วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

วิธีชะลอความแก่


 โดย แพทย์หญิงสุพัฒนา เดชาติวงศ์ ณ อยุธยาไม่มีผู้หญิงจิตใจปกติคนใดในโลกอยากแก่ แต่น่าประหลาดที่เธอแทบไม่เว้นสักคนเดียวพยายาม ชะลอความแก่” หรือพยุงความสาว” เฉพาะเรือนกายของเธอเท่านั้น เธอลืมสนิทว่ามนุษย์คือ องค์ประกอบของ กาย” กับ ใจ” ที่แยกกันไม่ออกจนถึงวันชีวิตดับ แม้เธอจะทำศัลยกรรมตบแต่ง ดึงผิวหน้าแล้วทาครีมกะปุกละพันบาท แต่ถ้าเธอลืมชะลอความชราทางใจเสียแล้วก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง เพราะใจมีอำนาจเหนือกายพูดอย่างสั้นที่สุดก็ต้องว่า ใจเป็นนายของกาย” คือ ใจเป็นผู้สั่งกายใจที่ร่วงโรยไม่สามารถสั่งกายให้สดชื่นได้ คนใจร่วงโรยกายจะร่วงโรยตามอย่างแน่นอน
ทำอย่างไรใจจึงจะแจ่มใสไม่ร่วงโรย?ใจแจ่มใสคือ ใจที่สงบ พอใจตนเอง รักผู้อื่นและพร้อมที่จะให้อภัยเป็นผู้ ให้” มากกว่าผู้รับรู้สึกขอบคุณและชื่นชมแม้สิ่งเล็กน้อยธรรมดาในชีวิตประจำวัน เช่น ร่มไม้เขียวชอุ่มเสียงนอกร้องกลิ่นหอมของดอกไม้รอยยิ้มของทารกไร้เดียงสาฯลฯ ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดี ทั้งหมดนี้มาจากประการเดียวเท่านั้นคือ เป็นคนรักตนเองรักผู้อื่น และรักธรรมชาติ
ใครไม่อยากแก่จึงต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. 
เป็นคนมีความรักคุณต้องรักตัวเองเสียก่อน จึงจะสามารถรักคนอื่นได้ แต่โปรดเข้าใจให้ถูกต้องว่า “ความรักตนเอง” ไม่ใช่ ความหลงตนเอง” และไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ความรักตนเองคือ ความพอใจตนเคารพตนและรู้ค่าของตน
คนไม่รักตนเองหรือชังตนเอง จะไม่มีวันรักใครได้เลย และคนไม่รักใครย่อมไม่มีใครรักคนไม่มีใครรักย่อมรู้สึกว่าโลกนี้โหดร้าย ไร้ความยุติธรรม เขาจึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง และไม่เป็นมิตร ซึ่งจะยิ่งทำให้ใครๆ ไม่รักเขามากขึ้น ซึ่งจะทำให้เขาเคียดแค้นชิงชัง โลก” หรือ ผู้อื่น” ยิ่งขึ้น เป็นวงจรไม่รู้จบ
ใครไม่อยากแก่จึงต้องฝึกใจให้รักผู้อื่น หรือรักเพื่อนมนุษย์ เมื่อเรารักใครเราย่อมอยากจะ ให้” เขาพร้อมที่จะให้อภัยเขา,ชื่นชมและยกย่องเขาช่วยเหลือเขา ซึ่งล้วนเป็นความรู้สึกทางใจ ฝ่ายเย็น” ทั้งสิ้น เป็นน้ำหล่อเลี้ยงใจ มีแต่จะทำให้ใจของคุณชุ่มฉ่ำและผ่องใสไม่รู้วันโรย ตรงกันข้ามกับคนไม่รักเพื่อนมนุษย์ คนเช่นนั้นขาดน้ำหล่อเลี้ยงใจ จึงเหมือนพืชขาดน้ำ นับวันแต่จะร่วงโรยและเหี่ยวเฉาไปในที่สุด
คนไม่รักใครมักหน้าบึ้งหน้างอไม่เคยยกย่องหรือชื่นชมใครมีชีวิตคับแค้นคบคนผิวเผิน บางคนไม่ให้อะไรใครแม้แต่รอยยิ้ม” ซึ่งไม่ต้องลงทุนอะไรเลย แต่เขาอาจมีสติปัญญาสูง มีความสามารถทำงานเก่ง แต่งานนั้นเป็นไปเพื่อ ลาภยศและสรรเสริญ ของตัวเองทั้งสิ้น
คนไม่รักใครเป็นคนขาดความรักมาแต่เด็ก จึงมองแต่แง่ลบของผู้อื่น และมีความชังบรรจุอยู่เต็มใจ ความเกลียดชังความเคียดแค้นความอิจฉาความหึงหวงรวมทั้งความไม่เป็นมิตร ที่แฝงอยู่ภายในล้วนเป็นความรู้สึกทางใจ ฝ่ายร้อน” ที่เผาใจคนเราให้รุ่มร้อนแล้วร่วงโรย ถ้าไม่สามารถขจัดความรู้สึกทางใจฝ่ายร้อนได้ก็ป่วยการที่จะใช้ครีมกะปุกละพันบาท เพราะว่าคนที่มีความรู้สึกทางใจฝ่ายร้อนเป็นเจ้าครองเรือนใจนั้น ระบบประสาทออโตโนมิคสองฝ่าย จะทำงานไม่สมดุลกัน ทำให้ความดันโลหิตผิดปกติจากการขยายหรือหดตัวของหลอดเลือด การบีบรัดตัวของลำไส้ ฯลฯ เปลี่ยนแปลงผิดไปจากปกติ ซึ่งจะให้ผลในทางสึกหรอหรือร่วงโรยทั้งสิ้น
2. อย่าใช้ชีวิตสะดวกสบายเกินไปใครที่มีคนขับรถให้ นั่งทำงานอยู่กับโต๊ะในห้องปรับอากาศทั้งวัน กลับบ้านมีคนรับใช้ทำให้ทุกอย่าง แม่แต่ต้องการของในอีกห้องหนึ่งก็ต้องใช้คนอื่นเดินไปหยิบให้ ทั้งไม่เคยหัดกายบริหาร หรือเล่นกีฬาแต่อย่างใด กล้ามเนื้อจะหย่อนยาน ไม่ตึงแข็งเหมือนคนได้ทำงานออกกำลังกายเป็นประจำ จึงดูแก่เร็วกว่า

ฉะนั้น ถ้าไม่อยากแก่เร็วอย่าใช้ชีวิตด้วยการ กดปุ่ม” และอาศัยแรงงานคนอื่นตลอดเวลา เช่น ถ้าไม่ใช่เวลารีบร้อน เดินขึ้นลงบันไดดีกว่าใช้ลิฟท์ ให้กล้ามเนื้อได้ทำหน้าที่ของมันตามสมควร
3. ให้อาหารแก่กายและใจคุณคงทราบดีแล้วว่า อาหารประเภทใดมีประโยชน์ต่อร่างกาย จะขอย้ำแต่เพียงว่าอาหารที่เป็นศัตรูต่อสตรีคือ อาหารหวานทุกชนิด อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าวขนมปังหัวเผือก หัวมัน และอาหารมัน เพราะนอกจากจะทำให้พุงยื่นคางสองชั้น,และ คอเป็นหนอกแล้ว ยังช่วยส่งเสริมสิวและเพิ่มไขมันในหลอดเลือด ทำให้ความดันโลหิตสูง และอาจทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบตันหัวใจวายตายกระทันหัน ไม่ทันได้ร่ำลาคนที่คุณรักก็ได้
อีกอย่างหนึ่ง ถ้าคุณตั้งหน้าทำงานหาเงินฝ่ายเดียว จนไม่มีเวลาเหลือไว้สำหรับอ่านหนังสือบำรุงสมอง และเสพย์อาหารใจจากสิ่งอันเป็นสุนทรีย์ทั้งปวง คือไม่เคยมีเวลาหนีเสียงยวดยานหนีอากาศเสีย และน้ำเน่าไปชื่นชมกับต้นไม้เขียวชอุ่ม,สายลม และแสงแดดบริสุทธิ์นอกกรุงเสียบ้าง คุณจะแก่เร็ว เพราะความตึงเครียดทั้งกายและใจร่วมกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษทั้งหลาย ช่วยกันซ้ำเติมให้ร่างกายของคุณสึกหรอเร็วขึ้น
4. เลิกกังวลคนขี้กังวลทั้งกายและใจจะตึงเครียดทำให้ปวดศีรษะ (เพราะกล้ามเนื้อบริเวณท้ายทอยเกร็งตัว) ปวดหลังและปวดข้อ(เพราะกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแขนขาเกร็งตัว) อ่อนเพลีย (เพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายทำงานมากเกินไป) ท้องอืดและท้องผูก (เพราะหูรูดของลำไส้บีบรัด) ฯลฯ ผลร้ายอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนขี้กังวลมักขมวดคิ้วหน้าเครียด กล้ามเนื้อของใบหน้าทำงานมากเกินไป จึงเกิดริ้วรอยและเหี่ยวย่นเร็ว
5. มีงานอดิเรกคุณทราบหรือไม่ว่า คุณสุขภาพจิตดีทุกคนมีงานอดิเรก ถ้าใครมีพฤติกรรมหลักอยู่เพียง อย่างคือ กินนอนและทำงานเมื่อใกล้วัยร่วงโรยทำงานวิชาชีพไม่ได้แล้วจะรู้สึกสูญเสีย ขาดสิ่งช่วยค้ำจุนความนับถือและภูมิใจตนเอง คนที่ขาดสิ่งค้ำจุนใจจะเศร้าง่ายในวัยชรา และความเศร้าย่อมทำให้ใจและกายร่วงโรยเร็วกว่าที่ควร
6. “ให้” ผู้อื่นทุกวันการให้เป็นความสุขมากกว่าการรับ เพราะการให้ทำให้ใจอิ่มเอิบ ซึ่งทำให้เกิดผลพลอยได้คือ ป้องกันความร่วงโรยของกายอีกด้วย ใจที่อิ่มเอิบย่อมทำให้ระบบประสาทออโตโนมิคทำหน้าที่ได้ดี จึงทำให้สีหน้า แววตา และผิวพรรณสดใส แถมยังมีส่วนช่วยรักษาอาการเศร้าได้ด้วย
การให้มิได้หมายความเฉพาะการให้ วัตถุ” อย่างที่คนส่วนมากเข้าใจ เรามีสมบัติอย่างอื่นที่จะให้ได้มากมาย ให้เท่าไรไม่รู้จักหมด สมบัตินั้นได้แก่น้ำใจ ไมตรีจิต ความเกื้อกูล ความยกย่อง และชื่นชม ฯลฯ เราทุกคนไม่ว่ายากไร้เพียงใดสามารถให้สิ่งเหล่านี้แก่ใครๆ ได้ทุกวันและตลอดชีวิต
ผู้เขียนขอเน้นเป็นพิเศษว่า คุณ ยกย่อง” ได้ แต่อย่า เยินยอ” เพราะ ยกย่อง” เป็นความสุจริต แต่ เยินยอ” เป็นความทุจริต
ควรถามตัวเองก่อนนอนว่า วันนี้ฉันได้ให้อะไรแก่ใครหรือยัง?” ถ้ายังพรุ่งนี้คุณจะให้อะไรแก่ใครบ้าง ขอย้ำว่า คุณมีอะไรจะให้ผู้อื่นได้เสมอทุกวันและตลอดชีวิต อย่างน้อยที่สุดก็ คำพูด” ที่ให้ความรู้สึกดีงามทางใจแก่เขา และ รอยยิ้ม” อันเมตตาอบอุ่นและปรารถนาดีต่อผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์ใจ แต่อย่าลืมว่า รอยยิ้มนั้นจะต้องไม่ขัดกับแววตาและวาจาของคุณเพราะเพียงแต่แววตาอย่างเดียวก็ฟ้องความรู้สึกจากใจได้ คุณคงไม่เป็นอย่างผู้หญิงบางคนที่ผู้เขียนเคยพบ และคุณเองก็อาจเคยผ่านมาบ้าง เธอผู้นั้นยิ้มสวยเหลือเกิน จนหลับตานึกถึงเธอทีไรมักเห็นรอยยิ้มแสนหวานกับฟันซี่เล็กขาวสวยของเธอ แต่ยามเจรจาเธอช่างหาถ้อยคำประชดเสียดสีที่แสนสุภาพมาเชือดเฉือนหัวใจคนฟังได้เจ็บแสบดีนัก
7. อย่าเป็นทาสของอดีตคนจำนวนมากไม่มีความสุขและใจร่วงโรย เพราะชอบคร่ำครวญหรือหวนหาอดีตไม่รู้จักจับสิ้น แล้วก็สงสารตัวเองไม่รู้หาย คนเช่นนี้จึงมีแต่ความท้อแท้จะถดถอย คนสุขภาพจิตดีจะไม่ตกเป็นทาสของอดีตอดีตเป็นเพียงสิ่งที่เราเดินผ่านไปบนถนนแห่งชีวิต ซึ่งเป็นถนนต้องห้ามคือ คุณเดินผ่านได้เพียงครั้งเดียว เหตุการณ์ในอดีตไม่ว่าจะเลวร้ายเพียงใด ถ้าเรารู้จักเป็นนายมัน มันจะมีประโยชน์ต่อเราเสมอไม่มีข้อยกเว้น จงให้มันรับใช้คุณคือ ใช้อดีตให้เป็นทาสของอนาคต ในโลกแห่งความจริง อดีตไม่เคยกลับมา เพราะอดีตคือความเป็นปัจจุบันที่ตายไปแล้ว มันย่อมหมดฤทธิ์เดช มันไม่มีตัวตน” แล้ว ไฉนคุณจะยังปล่อยใจให้เป็นทาสของมันอยู่อีกเล่า คนมีใจเป็นทาสของอดีตย่อมมืดมนและหม่นไหม้ เป็นใจที่ยังไม่หลุดพ้น เพราะหลงผูกพันอยู่กับ ความไม่มีตัวตน” เสพติดรสข่มขื่นของอดีตคนเช่นนั้นจึงร่วงโรยเร็ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณปฏิบัติได้ทุกข้อข้างต้น ในที่สุดวันหนึ่งคุณก็หนีไม่พ้น ต้องกลายเป็นหญิงแก่ผิวเหี่ยวย่นเข้าจนได้ทำอย่างไรดีเล่าใจจึงจะไม่เหี่ยวแห้งตามผิวไปด้วย ทำได้อย่างเดียวคือ ยอมรับสภาพความจริง เพราะการยอมรับสภาพความจริงของภาวะทุกอย่างที่ชีวิตเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นยารักษาความกังวล หวาดหวั่นได้ชงัดนัก จึงเป็นวิธีที่ดีสุดที่ทำให้ใจสงบ และใจที่สงบย่อมแจ่มใสไม่ร่วงโรย
ให้กำลังใจแก่ตัวเองเถิดว่า อายุแต่ละปีที่เพิ่มขึ้นย่อมเป็นสัดส่วนกับคุณค่าของตัวคุณคือ ยิ่งอายุมากขึ้น คุณก็ยิ่งฉลาดรอบรู้และสามารถมากขึ้น อย่างที่ฝรั่งพูดว่า “Age grows with wisdom” นอกจากนั้น ทุกปีที่ผ่านไป คุณยิ่งมีเพื่อนมากขึ้น ได้รับความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นได้ให้ทั้งคุณและประโยชน์แก่ผู้อื่นมากขึ้น ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คนมีปัญญาย่อมเห็นว่าล้วนมีค่าทั้งต่อตนเองและสังคมส่วนรวมมากกว่าความเต่งตึงของผิวกายอย่างเทียบกันไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น