คนไข้ มีอาการเวียนศีรษะ มักถูกเหมาเอาว่าเป็นโรคน้ำ
ในหูชั้นใน ประกอบด้วยระบบการทรงตัวและ
โรคน้ำในหูชั้นในไม่เท่ากัน
สาเหตุของโรค
- ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชั
- กลุ่มที่มีปัจจัยที่อาจจะเป
1. กรรมพันธุ์ มีโครงสร้างหูชั้นในผิดปกติ
2. โรคภูมิแพ้
3. การติดเชื้อไวรัส, หูชั้นกลางอักเสบ, หูน้ำหนวก, ซิฟิลิส
4. ประวัติเคยประสบอุบัติเหตุท
5. โรคทางกาย เช่น เบาหวาน, ไทรอยด์, ไขมันในเลือดสูง
อาการของโรค
1. อาการเวียนศีรษะ อาการเกิดขึ้น ทันทีทันใด อยู่เฉยๆ ก็เป็นขึ้นมาและคงอยู่นาน เกินกว่า 20 นาที (บ่อยครั้งที่เป็นนานหลายชั
2. การได้ยินลดลง ขณะมีอาการเวียน ศีรษะ ซึ่งระยะแรกอาจเป็นๆ หายๆ การได้ยินมักจะดีขึ้นเมื่ออ
3. หูอื้อ เสียงดังในหู ซึ่งเกิดขึ้นในหูข้าง ที่ผิดปกติ อาจเป็นตลอดเวลา หรือเฉพาะเวลาเวียนศีรษะก็ไ
4. อาการหนักๆ หน่วงๆ ในหู คล้าย มีแรงดันในหู บางคนอาจบอกว่าปวดหน่วง ๆ ความถี่ของอาการแต่ละคนไม่เ
การวินิจฉัย
การซักประวัติอย่างละเอียด และการตรวจร่างกายจะช่วยในก
1. การตรวจการได้ยิน (Audiogram)
2. การตรวจการทรงตัว (Electrony stagmography ; ENG)
- เพื่อดูว่าเป็นหูข้างใด ที่มีพยาธิสภาพ
- ความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน
- แยกโรคจากเวียนศีรษะที่เกิด
- พบว่า 50% ของผู้ป่วยน้ำในหูชั้นใน ไม่เท่ากัน มีความผิดปกติของการตรวจนี้
3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าในหูชั้นใ
4. การตรวจการได้ยินระดับก้านส
5. การทำ เอ็มอาร์ไอ หรือ ซีที สแกนสมอง และหูชั้นใน มักไม่จำเป็นในการวินิจฉัย แต่อาจใช้กรณีช่วยแยกโรคที่
การรักษา
1. การปฏิบัติตัว
- ขณะมีอาการควรหลีกเลี่ยงการ
- พักผ่อนให้เพียงพอ การอดนอนมักกระตุ้นให้มีอาก
- งดอาหารเค็ม
- พยายามลดความเครียด
- งดเหล้า, บุหรี่, ชา, กาแฟ
- หลีกเลี่ยงเสียงดังมาก ๆ
- การบริหารประสาทการทรงตัว จะทำให้สมองปรับตัวเร็วขึ้น
2. การให้ยา 80% จะหายได้ด้วยการให้ยา ได้แก่
- ยาขับปัสสาวะ
- ยาขยายหลอดเลือด
- ยาแก้อาการเวียนศีรษะ
- ยาแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน
- ยากล่อมประสาท หรือยานอนหลับ
3. การฉีดยา Gentamicin เข้าหูชั้น กลาง เพื่อให้ซึมเข้าหูชั้นใน เพื่อควบคุมอาการ เวียนศีรษะ ใช้ในกรณีที่กินยาไม่ได้ และยังเวียน ศีรษะอยู่
4. การผ่าตัด ใช้ในกรณีคนไข้มีอาการมาก และรักษาวิธีการใช้ยาข้างต้
ที่มา : โรงพยาบาลพญาไท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น