วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection หรือ UTI) คืออะไร?



โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection หรือ UTI) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อแบคทีเรียในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งส่วนใหญ่ โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ จะเกิดขึ้นที่บริเวณทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ซึ่งได้แก่ กระเพาะปัสสาวะ (bladder) เรียกว่า “Cystitis” และ ท่อปัสสาวะ (urethra –ท่อที่ลำเลียงน้ำปัสสาวะออกไปจากร่างกาย) เรียกว่า “Urethritis”


การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนบน ได้แก่ บริเวณ ไต (kidney)  เรียกว่า “Pyelonephritis”และ  ท่อไต (ureter – ท่อที่เชื่อมต่อระหว่างไต และ กระเพาะปัสสาวะ) ก็สามารถเกิดขึ้นได้  แต่จะพบได้น้อยกว่า  แต่หากมีการติดเชื้อจะรุนแรงกว่าการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง


อุบัติการณ์การเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ พบได้ค่อนข้างบ่อยมาก จากสถิติในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่พบว่ามีผู้ไปพบแพทย์ด้วยโรคนี้ถึง 10 ล้านครั้งต่อปี ในผู้หญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สามารถเกิดภาวะติดเชื้อนี้ได้บ่อยกว่าในผู้ชาย เนื่องจากการมีลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกัน โดยในผู้หญิงหรือเด็กผู้หญิงจะมีลักษณะดังต่อไปนี้


มีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่า
ความชื้นรอบบริเวณรูเปิดของท่อปัสสาวะมากกว่า
รูเปิดของท่อปัสสาวะใกล้กับทวารมากกว่า
โดยจะมีการพบภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะถึง 1 ใน 5 ของประชากรเพศหญิง ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ และผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ จะมีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ได้มากกว่าหญิงที่ไม่มีเพศสัมพันธ์

จากการศึกษาผู้หญิงในวิทยาลัยแห่งหนึ่งพบว่า ในหญิงที่มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 1 วันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะถึง 37%  และในกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์เป็นเวลา 5 วัน พบว่ามีโอกาสเกิดโรคมากกว่าถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีเพศสัมพันธ์เพียง 1 วัน หรือ กลุ่มที่ไม่มีเพศสัมพันธ์เลย


ส่วนในกลุ่มประชากรชายวัยรุ่นถึงวัยกลางคนจะพบโรคนี้ได้น้อยกว่า โดยพบเพียง 5-8 คนจาก 10,000 คน ใน 1 ปี


สาเหตุของโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรค

ภาวะติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียเข้าไปในทางเดินปัสสาวะ โดยผ่านทางท่อปัสสาวะ

โดยส่วนใหญ่โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มักเกิดจากเชื้อ E. coli (อี. โคไล) และแบคทีเรียอื่น ๆ ที่พบได้ปกติในบริเวณทางเดินอาหาร


การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่เชื้อ Herpes (เฮอร์พีรส์), Gonorrhea (โกโนเรีย), Chlamydia (คลาไมเดีย) และ Mycoplasma (ไมโคพลาสมา) สามารถก่อให้เกิดการติดเชื้อได้


ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ


1. มีท่อปัสสาวะที่ค่อนข้างสั้น


2. ในหญิงที่มีการเช็ดทำความสะอาดที่ไม่เหมาะสม (เช่นการเช็ดจากหลังไปหน้า นำพาให้เชื้อแบคทีเรียจากรูทวารมายังท่อปัสสาวะได้)


3. ในชายที่มีต่อมลูกหมากขนาดใหญ่ หรือ มีภาวะต่อมลูกหมากโต (Benign Prostate Hyperplasia-BPH)


4. ปัสสาวะน้อย จากการที่ดื่มน้ำปริมาณน้อยเกินไป


5. เป็นนิ่วบริเวณกรวยไต หรือการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ


6. การมีเพศสัมพันธ์


7. การใช้ห่วงคุมกำเนิด หรือใช้สารทำลายเชื้ออสุจิในการคุมกำเนิด


8. วัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินปัสสาวะในผู้หญิง


9. การใช้สายสวนปัสสาวะในการขับปัสสาวะ


10. ได้รับการผ่าตัด หรือมีหัตถการบริเวณที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะในช่วงที่ผ่านมา


11. เป็นโรคเบาหวาน หรือโรคอื่นที่ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง


โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในหญิงตั้งครรภ์

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในหญิงตั้งครรภ์ไม่ได้พบบ่อยมากไปกว่าในหญิงทั่วไป แต่การหายจากโรคจะยากกว่า และมีโอกาสเกิดซ้ำได้มากกว่า รวมถึงอาจเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าอีกด้วย ซึ่งเป็นผลมากจากการเปลี่ยนแปลงของทางเดินปัสสาวะระหว่างตั้งครรภ์ อันจะส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณไตได้ง่ายกว่า

หากคุณกำลังตั้งครรภ์ และสงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ควรรีบไปพบแพทย์อย่างทันที


ภาวะแทรกซ้อนของการเกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ

ส่วนใหญ่แล้ว การติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะจะไม่ทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ หากได้รับการรักษาโดยเร็ว แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังต่อไปนี้

1. เกิดการติดเชื้อซ้ำ

2. เกิดความเสียหายต่อไตอย่างถาวร
3. หากเกิดในหญิงตั้งครรภ์ โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนด หรือมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย
4. ทำให้ท่อปัสสาวะในผู้ชายตีบแคบลง
5. อาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (sepsis) โดยเฉพาะในกรณีที่ติดเชื้อบริเวณไต (urosepsis) ซึ่งมีอันตรายถึงแก่ชีวิต

การป้องกันการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

วิธีการต่อไปนี้ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้
1. ดื่มน้ำในปริมาณมากพอสมควร เพื่อช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียออกมาได้ง่ายขึ้น
2. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะที่นานเกินไป
3. ทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง หลังจากปัสสาวะ หรืออุจจาระ
4. รีบถ่ายปัสสาวะโดยเร็ว หลังจากการมีเพศสัมพันธ์
5. หลีกเลี่ยงการใช้สารระงับกลิ่น, อุปกรณ์ฉีดล้าง, แป้ง หรือผลิตภัณฑ์ของสตรีอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ
6. เลือกใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ แทนการใช้ห่วงคุมกำเนิด สารทำลายเชื้ออสุจิ หรือถุงยางอนามัยที่ไม่มีสารหล่อลื่น



กรวยไตอักเสบ

ความหมาย กรวยไตอักเสบ

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) คือ ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกรวยไตซึ่งอยู่ระหว่างไตกับท่อไต ผู้ป่วยกรวยไตอักเสบจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้องและเร่งด่วน เนื่องจากอาจทำให้ไตเสียหายถาวร หรือติดเชื้อในกระแสเลือดจนเสียชีวิตได้
กรวยไตอักเสบ
กรวยไตอักเสบส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งเป็นอาการที่พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ส่วนผู้ป่วยที่เป็นเด็กและผู้ที่มีระบบทางเดินปัสสาวะอุดตัน อาจเสี่ยงเป็นกรวยไตอักเสบแบบเรื้อรังได้มากกว่าคนทั่วไป
อาการของกรวยไตอักเสบ
ผู้ป่วยโรคกรวยไตอักเสบอาจแสดงอาการป่วยที่แตกต่างกัน โดยทั่วไปอาการของโรคกรวยไตอักเสบ มีดังนี้
  • มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
  • รู้สึกหนาวสั่น
  • เจ็บปวดบริเวณหลังหรือสีข้าง ปวดท้อง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปัสสาวะบ่อย รู้สึกปวดปัสสาวะตลอดเวลา เจ็บหรือแสบขณะปัสสาวะ
  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น มีสีขุ่น มีหนองหรือเลือดปนมากับปัสสาวะ
  • หากเกิดการติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ อาจมีหนองหรือสารคัดหลั่งบริเวณอวัยวะเพศ
สาเหตุของกรวยไตอักเสบ
กรวยไตอักเสบมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอีโคไล (E. Coli) ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอักเสบต่อเนื่องของกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะ การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ บางกรณีเชื้อแบคทีเรียอาจแพร่กระจายเข้าสู่กรวยไตผ่านทางกระแสเลือดได้ โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อในข้อเทียมหรือลิ้นหัวใจเทียม
ผู้ที่มีความเสี่ยงเผชิญภาวะกรวยไตอักเสบ ได้แก่
  • เพศหญิง ผู้หญิงเสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียที่เข้าสู่ทางเดินปัสสาวะมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากท่อปัสสาวะของผู้หญิงสั้นกว่า และอยู่ใกล้ช่องคลอดกับทวารหนัก
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์ เพราะมีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพิ่มขึ้น และความดันท่อไตสูงขึ้น หรือกรวยไตอาจอุดตันจากการถูกมดลูกกดเบียด ทำให้เสี่ยงติดเชื้อแบคทีเรียมากขึ้น
  • ผู้ที่มีระบบทางเดินปัสสาวะอุดตันหรือมีโครงสร้างระบบทางเดินปัสสาวะที่ผิดปกติ ซึ่งทำให้ปัสสาวะไม่สะดวก เช่น ผู้ที่มีนิ่วในไต ระบบทางเดินปัสสาวะตีบ และผู้ชายที่มีภาวะต่อมลูกหมากโต
  • ผู้ที่กำลังติดเชื้อหรือเคยติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา
  • ผู้ที่มีเส้นประสาทหรือไขสันหลังรอบกระเพาะปัสสาวะเสียหาย
  • ผู้ที่เคยใช้สายสวนปัสสาวะ เช่น เคยรับการผ่าตัด วินิจฉัยโรค หรือพักฟื้นในโรงพยาบาล
  • ผู้ที่มีภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ ซึ่งปัสสาวะบางส่วนจะไหลย้อนจากกระเพาะปัสสาวะเข้าสู่ท่อไตและไตข้างใดข้างหนึ่งหรือไตทั้งสองข้าง โดยมักพบในเด็กเล็กที่มีความผิดปกติลักษณะนี้แต่กำเนิด
  • ผู้ที่เคยได้รับการส่องกล้องหรือเคยรับการผ่าตัดในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • ผู้ที่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน หรือดื่มน้ำน้อย ซึ่งส่งผลให้ปัสสาวะค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะนานเกินไป
  • ผู้ที่ติดเชื้อแบคทีเรียในกระดูก ผิวหนัง หรือเนื้อเยื่ออื่น ๆ แล้วเชื้อโรคแพร่กระจายเข้าสู่กรวยไต หรือเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือด
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เอดส์ หรือมะเร็ง รวมถึงผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันร่างกายมีปฏิกิริยาต่ออวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่าย
ผู้ที่ติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งโรคนี้มีความเสี่ยงสูงในกลุ่มผู้ที่มีคู่นอนหลายคน
การวินิจฉัยกรวยไตอักเสบ
แพทย์มักวินิจฉัยกรวยไตอักเสบด้วยการตรวจร่างกายหาอาการไข้ ปัสสาวะขุ่น กดเจ็บบริเวณท้อง และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ และอาจตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยวิธีดังต่อไปนี้
  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจหนอง เลือด หรือเชื้อแบคทีเรียที่ปะปนในปัสสาวะ หรืออาจตรวจเพาะเชื้อจากปัสสาวะ
  • การตรวจเลือด เพื่อตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคชนิดอื่น ๆ ในเลือด
  • การตรวจด้วยรังสีวิทยา แพทย์อาจวินิจฉัยโรคกรวยไตอักเสบด้วยการอัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์ระบบทางเดินปัสสาวะ (Voiding Cystourethrogram) เพื่อตรวจหาซีสต์ เนื้องอก หรือการอุดตันในระบบทางเดินปัสสาวะ
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 72 ชั่วโมง แพทย์อาจต้องตรวจภาพฉายรังสีจากซีที สแกน เพื่อวินิจฉัยการอุดตันในระบบทางเดินปัสสาวะ และอาจตรวจแผลเป็นที่เกิดจากกรวยไตอักเสบด้วยการใช้สารกัมมันตรังสีหรือการส่องกล้องตรวจทางเดินปัสสาวะ ทั้งนี้ การตรวจเพิ่มเติมขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์
การรักษากรวยไตอักเสบ
การรับประทานยาและดูแลอาการด้วยตนเองที่บ้าน การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นพื้นฐานการรักษากรวยไตอักเสบโดยทั่วไป ซึ่งแพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะที่เจาะจงรักษาเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งหากสามารถระบุชนิดของเชื้อโรคได้ หรืออาจให้ยาปฏิชีวนะชนิดออกฤทธิ์กว้างหากไม่สามารถระบุชนิดของเชื้อแบคทีเรียได้ โดยผู้ป่วยต้องรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง 10-14 วัน แม้อาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วันแรกแล้วก็ตาม ทั้งนี้ แพทย์อาจให้ตรวจปัสสาวะซ้ำหลังการรักษา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อแล้ว เพราะหากยังพบการติดเชื้อ ผู้ป่วยต้องรับประทานยาปฏิชีวนะอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษากรวยไตอักเสบ ได้แก่ ลีโวฟลอกซาซิน ไซโพรฟล็อกซาซิน ซัลฟาเมท็อกซาโซล ไทรเมโทพริม และแอมพิซิลลิน
นอกจากนี้ แพทย์อาจให้รับประทานยาแก้ปวดลดไข้ เช่น พาราเซตามอล และไอบูโพรเฟน เพืื่อบรรเทาอาการบางอย่างตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยผู้ป่วยควรรับประทานยาให้ถูกต้องและเคร่งครัดตามคำสั่งแพทย์เสมอ
  • การรักษาในโรงพยาบาล หากรักษาด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยมีภาวะไตติดเชื้อรุนแรง แพทย์อาจต้องฉีดยาปฏิชีวนะเข้าทางหลอดเลือดดำเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง ร่วมกับการให้น้ำเกลือและยาแก้ปวดลดไข้ ติดตามอาการโดยตรวจปัสสาวะและเลือดอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น อาจต้องรับประทานยาปฏิชีวนะต่อไปอีก 10-14 วัน ส่วนผู้ป่วยที่ตั้งครรภ์ควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจเสี่ยงเกิดอันตรายต่อตนเองและทารกในครรภ์ หรือทำให้คลอดก่อนกำหนดได้ โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะชนิดเบตา-แลกแทม เป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
ในกรณีที่ผู้ป่วยกรวยไตอักเสบมีภาวะไตติดเชื้อชนิดเรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดจากการอุดตันของฝีหนอง หรือความผิดปกติอื่น ๆ ของไต และผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แพทย์อาจต้องผ่าตัดเพื่อรักษา หรืออาจต้องตัดเนื้อไตบางส่วนทิ้งไป หากพบว่าไตติดเชื้อรุนแรงมาก
ภาวะแทรกซ้อนของกรวยไตอักเสบ
กรวยไตอักเสบชนิดเฉียบพลันมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนหากได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง แต่อาจนำไปสู่การเกิดกรวยไตอักเสบชนิดเรื้อรังได้ ซึ่งอาจทำให้ไตเสียหายถาวร หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด และแม้มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมทันท่วงที
ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ของกรวยไตอักเสบที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ภาวะความดันโลหิตสูง การเกิดแผลเป็นหรือฝีในไต และภาวะไตวายเฉียบพลัน
การป้องกันกรวยไตอักเสบ
กรวยไตอักเสบอาจป้องกันได้ด้วยการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยอาจปฏิบัติตามวิธีดังต่อไปนี้
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อขับปัสสาวะที่มีเชื้อแบคทีเรียออกจากร่างกาย
  • ไม่กลั้นปัสสาวะ และปัสสาวะทันทีเมื่อรู้สึกปวด


  • ปัสสาวะทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ผู้หญิงควรเช็ดทำความสะอาดอวัยวะเพศและทวารหนักจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ท่อปัสสาวะ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศหญิง เช่น สเปรย์ สบู่ เป็นต้น
  • ผู้ที่ตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจปัสสาวะในช่วงสัปดาห์ที่ 12-16 ของการตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตนเองและทารกในครรภ์ได้
  • หากกำลังป่วยหรือมีความผิดปกติใด ๆ ในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น มีนิ่วอุดตัน ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือมีโครงสร้างอวัยวะภายในระบบทางเดินปัสสาวะผิดปกติ ควรเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันการเกิดกรวยไตอักเสบ
  • ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น