บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก สิงหาคม, 2019

ยาคลายกล้ามเนื้อ

รูปภาพ
ยาคลายกล้ามเนื้อ  (Muscle Relaxants หรือ Skeletal Muscle Relaxants) คือ กลุ่มยาที่ใช้ลดหรือผ่อนคลายความตึงของกล้ามเนื้อ ยาส่วนใหญ่จะมีผลโดยตรงต่อกล้ามเนื้อ ในขณะที่ยาบางตัวมีผลต่อการทำงานของสมองและระบบประสาทบริเวณไขสันหลังที่ใช้ควบคุมกล้ามเนื้อ โดยตัวอย่างยารักษาที่อยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่  ไดอะซีแพม (Diazepam)  บาโคลเฟน (Baclofen) แดนโทรลีน (Dantrolene) ทิซานิดีน (Tizanidine) โบทูลินัม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) และสารที่สกัดจากกัญชา ซึ่งเป็นยาในกลุ่มควบคุม ต้องใช้ภายใต้คำสั่งจากแพทย์เท่านั้น ยาคลายกล้ามเนื้อแบ่งเป็น 3 ชนิดหลักด้วยกัน ได้แก่ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ  (Neuromuscular Blocking Agents) จะออกฤทธิ์กับตัวรับแอซิติลโคลีน (Acetylcholine) ไปกีดขวางการทำงานของสารสื่อประสาทที่มีผลต่อกล้ามเนื้อ อาจใช้ยากลุ่มนี้ร่วมในขั้นตอนการให้ ยาสลบ  เพื่อคลายกล้ามเนื้อไม่ให้เกิดการเคลื่อนไหวในระหว่างที่แพทย์ทำการผ่าตัด ยาคลายกล้ามเนื้อสูตรผสม  (Skeletal Muscle Relaxant Combinations) เป็นยาที่มีส่วนผสมของยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวดรวมกันอยู่ในเม็ดเดียว ยาจะช่วยลดความตึ...

กิน “ลูกชิ้น” เป็นประจำ เสี่ยงตับ-ไตพัง

รูปภาพ
กิน “ลูกชิ้น” เป็นประจำ เสี่ยงตับ-ไตพังจาก “บอแรกซ์-โซเดียม-สารกันบูด” อาหารยามว่าง หนีไม่พ้น “ลูกชิ้นทอด” ที่ทั้งอร่อย ทั้งอิ่ม กินกันเพลินจนหยุดไม่อยู่ แต่นอกจากแป้ง และน้ำจิ้มที่เป็นอาหารให้พลังงานสูง เสี่ยงต่อน้ำหนักที่อาจพุ่งขึ้นอย่างไม่รู้ตัวแล้ว ลูกชิ้นที่ไม่ได้มาตรฐานอาจส่งผลอันตรายต่อผู้บริโภค ได้เช่นกัน อันตรายจากลูกชิ้น ดร.วนะพร ทองโฉม นักวิชาการโภชนาการ ฝ่ายโภชนาการ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ลูกชิ้นเป็นผลิตภัณฑ์แปลรูปจากเนื้อสัตว์ แม้ว่าลูกชิ้นจะมีหลายแบบ หลายขนาด และมีส่วนผสมหลักที่แตกต่างกันไป เช่น ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ เป็นต้น แต่สิ่งหนึ่งที่มักพบเจอในลูกชิ้นทุกแบบ คือ สารบอแรกซ์ หรือน้ำประสานทอง แม้ว่าจะมีกฎหมายไม่ให้ใส่ในอาหาร แต่ก็ยังมีผู้ผลิตที่มักแอบใส่เพื่อให้ลูกชิ้นมีความเหนียวนุ่ม เด้งหนึบหนับ และไม่เน่าเสียง่าย สารกันบูด เช่น กรดเบนโซอิก ผู้ผลิตอาจใส่เพิ่มลงไปในลูกชิ้น เพื่อไม่ให้ลูกชิ้นเสียง่าย เก็บได้นาน เนื่องจากเวลาทำขายมักทำเป็นปริมาณมากต่อครั้ง อาจไม่ได้ทำสดใหม่วันต่อวัน หากใส่ในปริมาณมากอาจส่งผลต...

โรคเกาต์ อาการ สาเหตุ และการรักษาโรคเกาต์ 19 วิธี !!

รูปภาพ
โรคเกาต์ เกาต์ หรือ เก๊าท์ (Gout) เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง (พบได้ประมาณ 2-4 คน ใน 1,000 คน[1]) จัดเป็นโรคของผู้ใหญ่ในวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยอายุ 40-60 ปี จะพบโรคนี้ได้ประมาณ 2% และอายุ 60 ปีขึ้นไป จะพบได้ประมาณ 4% สังเกตได้ว่ายิ่งอายุมากขึ้นโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ก็มากขึ้นตามไปด้วย[2] มักพบได้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า[1] ส่วนในผู้หญิงจะพบได้น้อย หรือถ้าพบก็มักจะเป็นผู้หญิงหลังวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว (มักเริ่มเป็นเมื่ออายุ 55 ปีขึ้นไป) โดยทั่วไปมักเกิดกับข้อเพียงข้อเดียว ในบางครั้งอาจเกิดกับหลายข้อได้พร้อม ๆ กันก็ได้ แต่ข้อที่พบได้บ่อยมากที่สุดคือ นิ้วหัวแม่เท้า สาเหตุของโรคเกาต์ โรคเกาต์เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีกรดยูริกในเลือดสูงอยู่เป็นเวลานานจนเกิดการตกผลึกของยูเรตตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ข้อ (ทำให้เกิดข้ออักเสบ) ไต (ทำให้เกิดนิ่วในไตและไตวาย) ส่วนสาเหตุที่ทำให้กรดยูริกในเลือดสูงก็เนื่องมาจาก ร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าปริมาณที่ขับออก (นอกจากกรดยูริกในเลือดสูงจะเป็นผลมาจากการที่ร่างกายขาดยีนในการสลายกรดยูริกแล้ว ยังพบว่าอาจเป็นผลมา...

การตรวจกรดยูริก (Uric acid) ในเลือด คืออะไร ?

รูปภาพ
1 Uric acid 2 วัตถุประสงค์การตรวจ Uric acid 3 ค่าปกติของ Uric acid 4 ค่า Uric acid ที่ต่ำกว่าปกติ 5 ค่า Uric acid ที่สูงกว่าปกติ 6 ข้อควรรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจ Uric acid Uric acid การตรวจกรดยูริกในเลือด หรือ การตรวจวัดค่า Uric acid ในเลือด (Uric acid Test) คือ การตรวจวัดปริมาณของกรดยูริกในเลือดเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคเกาต์ ติดตามการรักษาโรคเกาต์ รวมทั้งผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี และยังเป็นการตรวจที่อาจใช้เป็นสัญญาณบ่งชี้สุขภาพของไตอย่างหนึ่งได้ด้วย กรดยูริก (Uric acid) คือ สารประกอบชีวเคมี ซึ่งถือว่าเป็นสารของเสียที่เกิดจากการบริโภคอาหารที่มีสารพิวรีน (Purine) เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย โดยอาหารที่มีสารพิวรีนสูงนั้น ได้แก่ เนื้อแดงของวัว เนื้อหมู เนื้อแกะ เนื้อสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ฯลฯ เมื่อเรากินเข้าไปแล้วจะถูกร่างกายย่อยสลายเป็นกรดยูริก (Uric acid) ซึ่งนับเป็นของเสียที่ไตจะขับทิ้งออกจากร่างกายทางปัสสาวะประมาณ 75% ส่วนอีก 25% ที่เหลือจะถูกขับออกทางลำไส้ปนออกมากับกากอาหาร กรดยูริกในเลือดนี้หากมีการสร้างและกำจัดออกได้ตามปกติก็จะไม่มีผลอะไรต่อร่างกาย แต่เ...